Language
 - 
Afrikaans
 - 
af
Albanian
 - 
sq
Amharic
 - 
am
Arabic
 - 
ar
Armenian
 - 
hy
Azerbaijani
 - 
az
Basque
 - 
eu
Belarusian
 - 
be
Bengali
 - 
bn
Bosnian
 - 
bs
Bulgarian
 - 
bg
Catalan
 - 
ca
Cebuano
 - 
ceb
Chichewa
 - 
ny
Chinese (Simplified)
 - 
zh-CN
Chinese (Traditional)
 - 
zh-TW
Corsican
 - 
co
Croatian
 - 
hr
Czech
 - 
cs
Danish
 - 
da
Dutch
 - 
nl
English
 - 
en
Esperanto
 - 
eo
Estonian
 - 
et
Filipino
 - 
tl
Finnish
 - 
fi
French
 - 
fr
Frisian
 - 
fy
Galician
 - 
gl
Georgian
 - 
ka
German
 - 
de
Greek
 - 
el
Gujarati
 - 
gu
Haitian Creole
 - 
ht
Hausa
 - 
ha
Hawaiian
 - 
haw
Hebrew
 - 
iw
Hindi
 - 
hi
Hmong
 - 
hmn
Hungarian
 - 
hu
Icelandic
 - 
is
Igbo
 - 
ig
Indonesian
 - 
id
Irish
 - 
ga
Italian
 - 
it
Japanese
 - 
ja
Javanese
 - 
jw
Kannada
 - 
kn
Kazakh
 - 
kk
Khmer
 - 
km
Korean
 - 
ko
Kurdish (Kurmanji)
 - 
ku
Kyrgyz
 - 
ky
Lao
 - 
lo
Latin
 - 
la
Latvian
 - 
lv
Lithuanian
 - 
lt
Luxembourgish
 - 
lb
Macedonian
 - 
mk
Malagasy
 - 
mg
Malay
 - 
ms
Malayalam
 - 
ml
Maltese
 - 
mt
Maori
 - 
mi
Marathi
 - 
mr
Mongolian
 - 
mn
Myanmar (Burmese)
 - 
my
Nepali
 - 
ne
Norwegian
 - 
no
Pashto
 - 
ps
Persian
 - 
fa
Polish
 - 
pl
Portuguese
 - 
pt
Punjabi
 - 
pa
Romanian
 - 
ro
Russian
 - 
ru
Samoan
 - 
sm
Scots Gaelic
 - 
gd
Serbian
 - 
sr
Sesotho
 - 
st
Shona
 - 
sn
Sindhi
 - 
sd
Sinhala
 - 
si
Slovak
 - 
sk
Slovenian
 - 
sl
Somali
 - 
so
Spanish
 - 
es
Sundanese
 - 
su
Swahili
 - 
sw
Swedish
 - 
sv
Tajik
 - 
tg
Tamil
 - 
ta
Telugu
 - 
te
Thai
 - 
th
Turkish
 - 
tr
Ukrainian
 - 
uk
Urdu
 - 
ur
Uzbek
 - 
uz
Vietnamese
 - 
vi
Welsh
 - 
cy
Xhosa
 - 
xh
Yiddish
 - 
yi
Yoruba
 - 
yo
Zulu
 - 
zu

ภาเวตัพพธรรม

ธรรมอันพึงเจริญหรือพึงปฏิบัติบำเพ็ญ, สิ่งที่จะต้องปฏิบัติหรือลงมือทำ

 

ง. ภาเวตัพพธรรม = ธรรมที่เข้ากับกิจในอริยสัจจ์ข้อที่ ๔ คือ ภาวนา (ธรรมอันพึงเจริญหรือพึงปฏิบัติบำเพ็ญ, สิ่งที่จะต้องปฏิบัติหรือลงมือทำ ได้แก่ ธรรมที่เป็นมรรค โดยเฉพาะสมถะ และวิปัสสนา กล่าวคือ ประดาธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติหรือเป็นวิธีการที่จะทำหรือดำเนินการเพื่อให้บรรลุจุดหมายแห่งการสลายทุกข์หรือดับปัญหา - Bhàvetabba-dhamma: things to be developed, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path)

M.III.๒๘๙; S.V.๕๒; A.II.๒๔๖. ม.อุ.๑๔/๘๒๙/๕๒๔; สํ.ม.๑๙/๒๙๑–๕/๗๘;องฺ.จตุกฺก.๒๑/๒๕๔/๓๓๓.

 

ปัจจัยแห่งสัมมาทิฎฐิ ๒

บุพนิมิตแห่งมรรค ๗

พุทธโอวาท ๓

ไตรสิกขา, สิกขา ๓

บุญกิริยาวัตถุ ๓

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐

ภาวนา ๒

ภาวนา ๔

มรรคมีองค์ ๘

กุศลกรรมบท ๑๐

โพธิปักขิยธรรม ๓๗

 

ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ (ทางเกิดแห่งแนวความคิดที่ถูกต้อง, ต้นทางของปัญญาและความดีงามทั้งปวง - Sammàdiññhi-paccaya: sources or conditions for the arising of right view)

๑. ปรโตโฆสะ (เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียน หาความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร - Paratoghosa: another's utterance; inducement by others; hearing or learning from others)

๒. โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย - Yonisomanasikàra: reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection) 

ข้อธรรม ๒ อย่างนี้ ได้แก่ ธรรมหมวดที่ [๑] และ [๒] นั่นเอง แปลอย่างปัจจุบันว่า “องค์ประกอบของการศึกษา” หรือ “บุพภาคของการศึกษา” โดยเฉพาะข้อที่ ๑ ในที่นี้ใช้คำกว้างๆ แต่ธรรมที่ต้องการเน้น ก็คือ กัลยาณมิตตตา

ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่าง คือ ปรโตโฆสะ และ อโยนิโสมนสิการ ซึ่งตรงข้ามกับที่กล่าวมานี้.

M.I.๒๙๔; A.I.๘๗. ม.มู.๑๒/๔๙๗/๕๓๙; องฺ.ทุก. ๒๐/๓๗๑/๑๑๐.

 

บุพนิมิตแห่งมรรค ๗ (ธรรมที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกล่วงหน้าว่า มรรคมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐจะเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ดุจแสงอรุณเป็นบุพนิมิตของการที่ดวงอาทิตย์จะอุทัย, แสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดี, รุ่งอรุณของการศึกษา - Magguppàda-pubbanimitta: a foregoing sign for the arising of the Noble Eightfold Path; precursor of the Noble Path; harbinger of a good life or of the life of learning)

๑. กัลยาณมิตตตา (ความมีกัลยาณมิตร, มีมิตรดี, คบหาคนที่เป็นแหล่งแห่งปัญญาและแบบอย่างที่ดี - Kalyàõamittatà: good company; having a good friend; association with a good and wise person)

๒. สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล, การทำศีลให้ถึงพร้อม, ตั้งตนอยู่ในวินัยและมีความประพฤติทั่วไปดีงาม - Sãla-sampadà: perfection of morality; accomplishment in discipline and moral conduct)

๓. ฉันทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยฉันทะ, การทำฉันทะให้ถึงพร้อม, ความใฝ่ใจอยากจะทำกิจหน้าที่และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องให้ดีงาม, ความใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์ - Chanda-sampadà: perfection of aspiration; accomplishment in constructive desire)

๔. อัตตสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยตนที่ฝึกดีแล้ว, การทำตนให้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ที่พัฒนาแล้วโดยสมบูรณ์ ทั้งด้านกาย ศีล จิต และปัญญา [ที่จะเป็น ภาวิตัตต์ คือผู้มีตนอันได้พัฒนาแล้ว] - Atta-sampadà: perfection of oneself; acomplishment in self that has been well trained; dedicating oneself to training for the realization of one’s full human potential; self-actualization)

๕. ทิฏฐิสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ, การทำทิฏฐิให้ถึงพร้อม, การตั้งอยู่ในหลักความคิดความเชื่อถือที่ถูกต้องดีงามมีเหตุผล เช่น ถือหลักความเป็นไปตามเหตุปัจจัย - Diññhisampadà: perfection of view; accomplishment in view; to be established in good and reasoned principles of thought and belief)

๖. อัปปมาทสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท, การทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม - Appamàda-sampadà: perfection of heedfulness; accomplishment in diligence)

๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ, การทำโยนิโสมนสิการให้ถึงพร้อม, ความฉลาดคิดแยบคายให้เห็นความจริงและหาประโยชน์ได้ - Yonisomanasikàrasampadà: perfection of wise reflection; accomplishment in systematic attention) 

เมื่อใดธรรมที่เป็นบุพนิมิต ๗ ประการนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดมีในบุคคลแล้ว เมื่อนั้นย่อมเป็นอันหวังได้ว่าเขาจักเจริญ พัฒนา ทำให้มาก ซึ่งมรรคมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ คือจักดำเนินก้าวไปในมัชฌิมาปฏิปทา.

 

S.V.๓๐–๓๑. สํ.ม.๑๙/๑๓๐–๖/๓๖.

 

พุทธโอวาท ๓ (ประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักใหญ่ ๓ ข้อ — Buddha-ovàda: the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha)

๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ (ไม่ทำความชั่วทั้งปวง - Sabbapàpassa akaraõa§: not to do any evil)

๒. กุสลสฺสูปสมฺปทา (ทำแต่ความดี - Kusalassåpasampadà: to do good; to cultivate good)

๓. สจิตฺตปริโยทปนํ (ทำใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ - Sacittapariyodapana§: to purify the mind)

หลัก ๓ ข้อนี้ รวมอยู่ใน โอวาทปาฏิโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันเพ็ญ เดือน ๓ ที่บัดนี้เรียกว่า วันมาฆบูชา

D.II.๔๙; Dh.๑๘๓. ที.ม.๑๐/๕๔/๕๗; ขุ.ธ.๒๕/๒๔/๓๙.

 

สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา (ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา คือ ฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน - Sikkhà: the Threefold Learning; the Threefold Training)

๑. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง - Adhisãla-sikkhà: training in higher morality)

๒. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจิตอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่น สมาธิอย่างสูง - Adhicitta-sikkhà: training in higher mentality)

๓. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง - Adhipa¤¤à-sikkhà: training in higher wisdom) 

เรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา (morality, concentration and wisdom)

D.III.๒๒๐; A.I.๒๒๙. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๕๒๑/๒๙๔.

 

บุญกิริยาวัตถุ ๓ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำความดี, หลักการทำความดี, ทางทำความดี - Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action; grounds for accomplishing merit)

๑. ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ - Dànamaya pu¤¤akiriyà-vatthu: meritorious action consisting in giving or generosity)

๒. สีลมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมีระเบียบวินัย - Sãlamaya ~: meritorious action consisting in observing the precepts or moral behaviour)

๓. ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจเจริญปัญญา - Bhàvanàmaya ~: meritorious action consisting in mental development)

D.III.๒๑๘; A.IV.๒๓๙; It.๕๑. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๐; องฺ.อฏฺฐก.๒๓/๑๒๖/๒๔๕; ขุ.อิติ.๒๕/๒๓๘/๒๗๐.

 

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, ทางทำความดี - Pu¤¤akiriyà-vatthu: bases of meritorious action)

๑. ทานมัย (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ - Dànamaya: meritorious action consisting in generosity; merit acquired by giving)

๒. สีลมัย (ทำบุญด้วยการรักษาศีลหรือประพฤติดี - Sãlamaya: by observing the precepts or moral behaviour)

๓. ภาวนามัย (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจเจริญปัญญา - Bhàvanàmaya ~: by mental development)

๔. อปจายนมัย (ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม - Apacàyanamaya: by humility or reverence)

๕. เวยยาวัจจมัย (ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ - Veyyàvaccamaya: by rendering services)

๖. ปัตติทานมัย (ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนแห่งความดีให้แก่ผู้อื่น - Pattidànamaya: by sharing or giving out merit)

๗. ปัตตานุโมทนามัย (ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น - Pattànumodanàmaya: by rejoicing in others’ merit)

๘. ธัมมัสสวนมัย (ทำบุญด้วยการฟังธรรมศึกษาหาความรู้ - Dhammassavanamaya: by listening to the Doctrine or right teaching)

๙. ธัมมเทสนามัย (ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ - Dhammadesanàmaya: by teaching the Doctrine or showing truth)

๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ (ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ตรง - Diññhujukamma: by straightening one’s views or forming correct views)

ข้อ ๔ และข้อ ๕ จัดเข้าในสีลมัย; ๖ และ ๗ ในทานมัย; ๘ และ ๙ ในภาวนามัย; ข้อ ๑๐ ได้ ทั้งทาน ศีล และภาวนา

D.A.III.๙๙๙; Comp.๑๔๖. ที.อ.๓/๒๔๖; สังคหะ ๒๙.

 

ภาวนา ๒ (การเจริญ, การทำให้เกิดให้มีขึ้น, การฝึกอบรมจิตใจ - Bhàvanà: mental development)

๑. สมถภาวนา (การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ, การฝึกสมาธิ - Samatha-bhàvanà: tranquillity development)

๒. วิปัสสนาภาวนา (การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งตามเป็นจริง, การเจริญปัญญา - Vipassanà-bhàvanà: insight development) 

สองอย่างนี้ ในบาลีที่มาท่านเรียกว่า ภาเวตัพพธรรม และ วิชชาภาคิยธรรม. ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกว่า กรรมฐาน (อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งงานเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต, วิธีฝึกอบรมจิต - Kammaññhàna: stations of mental exercises; mental exercise; สงฺคห. ๕๑; Comp. ๒๐๒)

D.III.๒๗๓; A.I.๖๐. ที.ปา.๑๑/๓๗๙/๒๙๐; องฺ.ทุก.๒๐/๒๗๕/๗๗.

 

ภาวนา ๔ (การเจริญ, การทำให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา - Bhàvanà:growth; cultivation; training; development)

๑. กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ - Kàya-bhàvanà: physical development)

๒. สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน - Sãlabhàvanà: moral development)

๓. จิตตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคง เจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีฉันทะ ขยันหมั่นเพียร อดทน มีสมาธิ และสดชื่นเบิกบาน เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น - Citta-bhàvanà: cultivation of the heart; emotional development)

๔. ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทำจิตใจให้เป็นอิสระ ทำตนให้บริสุทธิ์จากกิเลสและปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา - Pa¤¤à-bhàvanà: cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom development)

ในบาลีที่มา ท่านแสดงภาวนา ๔ นี้ ในรูปที่เป็นคุณบทของบุคคล จึงเป็น ภาวิต ๔ คือ ภาวิตกายภาวิตศีล ภาวิตจิต ภาวิตปัญญา (ผู้ได้เจริญกาย ศีล จิต และปัญญาแล้ว) บุคคลที่มีคุณสมบัติชุดนี้ครบถ้วนย่อมเป็นพระอรหันต์

A.III.๑๐๖. องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๗๙/๑๒๑

 

มรรคมีองค์ ๘ หรือ อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า “ทางมีองค์แปดประการ อันประเสริฐ” - Aññhaïgika-magga: the Noble Eightfold Path); องค์ ๘ ของมรรค (มัคคังคะ — factors or constituents of the Path) มีดังนี้

๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ ๔ หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้อกุศลและ อกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท - Sammàdiññhi: Right View; Right Understanding)

๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ ได้แก่ เนกขัมมสังกัปป์ อพยาบาทสังกัปป์ อวิหิงสาสังกัปป์ - Sammàsaïkappa: Right Thought) 

๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ ได้แก่ วจีสุจริต ๔ - Sammàvàcà: Right Speech) 

๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ ได้แก่ กายสุจริต ๓ - Sammàkammanta: Right Action)

 

๒. อทินฺนาทานา เวรมณี (เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้โดยอาการขโมย - Adinnàdànà ~: abstention from taking what is not given)

๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (เว้นจากประพฤติผิดในกาม - Kàmesumicchàcàrà ~: abstention from sexual misconduct)

ข. วจีกรรม ๔ (การกระทำทางวาจา - Vacãkamma: verbal action) 

๔. มุสาวาทา เวรมณี (เว้นจากพูดเท็จ - Musàvàdà ~: abstention from false speech)

๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากพูดส่อเสียด - Pisuõàya vàcàya ~: abstention from tale-bearing)

๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เว้นจากพูดคำหยาบ - Pharusàya vàcàya ~: abstention from harsh speech)

๗. สมฺผปฺปลาปา เวรมณี (เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ - Samphappalàpà ~: abstention from  vain talk or gossip)

ค. มโนกรรม ๓ (การกระทำทางใจ - Manokamma: mental action)

๘. อนภิชฺฌา (ความไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา - Anabhijjhà: non-covetousness)

๙. อพฺยาปาท (ความไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น - Abyàpàda: non-illwill)

๑๐. สมฺมาทิฏฺฐิ (ความเห็นชอบ ถูกต้องตามคลองธรรม - Sammàdiññhi: right view)

D.III.๒๖๙,๒๙๐. ที.ปา.๑๑/๓๖๐/๒๘๔; ๔๗๑/๓๓๗.

 

กุศลกรรมบถ ๑๐  (ทางแห่งกุศลกรรม, ทางทำความดี, กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ - Kusala-kammapatha: wholesome course of action) ว่าโดยข้อธรรมสมบูรณ์ (แปลตัดเอาแต่ใจความ) ดังนี้

 

ก. กายกรรม ๓ (การกระทำทางกาย - bodily action)

๑. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี โหติ (ละการฆ่าการเบียดเบียน มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน - to avoid the destruction of life and be anxious for the welfare of all lives)

๒. อทินฺนาทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทินนาทาน เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น - to avoid stealing, not violating the right to private property of others)

๓. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จาริตฺตํ อาปชฺชิตา โหติ (ละการประพฤติผิดในกาม ไม่ล่วงละเมิดประเพณีทางเพศ - to avoid sexual misconduct, not transgressing sex morals)

 

ข. วจีกรรม ๔ (การกระทำทางวาจา - verbal action)

๔. มุสาวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพูดเท็จ ไม่ยอมกล่าวเท็จ เพราะเหตุตนเอง ผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ใดๆ - to avoid lying, not knowingly speaking a lie for the sake of any advantage)

๕. ปิสุณํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา โหติ (ละการพูดคำส่อเสียด ช่วยสมานคนที่แตกร้าวกัน ส่งเสริมคนที่สมัครสมานกัน ชอบกล่าวถ้อยคำที่สร้างสามัคคี - to avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter speech that makes for harmony)

๖. ผรุสํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหุชนมนาปา ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคำหยาบ พูดแต่คำสุภาพอ่อนหวาน - to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous, dear and agreeable words)

๗. สมฺผปฺปลาปํ ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที นิธานวตึวาจํ ภาสิตา โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพ้อเจ้อ พูดแต่คำจริง มีเหตุผล มีสารประโยชน์ ถูกกาลเทศะ - to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with facts, what is useful, moderate and full of sense)

 

ค. มโนกรรม ๓ (การกระทำทางใจ - mental action)

๘. อนภิชฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น - to be without covetousness)

๙. อพฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ ฯเปฯ สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตูติ (ไม่มีจิตคิดร้าย คิดปรารถนา แต่ว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน ไม่มีทุกข์ ครองตนอยู่เป็นสุขเถิด - to be free from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will, and would lead a happy life free from trouble.’)

๑๐. สมฺมาทิฏฺฐิโก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ (มีความเห็นชอบ เช่น ว่า ทานมีผล การบูชามีผล ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วมี เป็นต้น - to possess right view such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are results of wholesome and unwholesome actions)

กุศลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชื่อหลายอย่าง เช่นว่า ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม - righteous conduct) บ้าง โสไจย (ความสะอาดหรือเครื่องชำระตัว - cleansing) บ้าง อริยธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผู้เจริญ - virtues of a noble or civilized man) บ้าง อริยมรรค (มรรคาอันประเสริฐ - the noble path) บ้าง สัทธรรม (ธรรมดี, ธรรมแท้ - good law; true law) บ้าง สัปปุริสธรรม (ธรรมของสัตบุรุษ - qualities of a good man) บ้าง ฯลฯ 

M.I.๒๘๗; A.V.๒๖๖,๒๗๕–๒๗๘. ม.มู.๑๒/๔๘๕/๕๒๓; องฺ.ทสก.๒๔/๑๖๕/๒๘๗; ๑๖๘–๑๘๑/๒๙๖–๓๐๐.

 

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้, ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค - Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment states)

๑. สติปัฏฐาน ๔ 

๒. สัมมัปปธาน ๔ 

๓. อิทธิบาท ๔ 

๔. อินทรีย์ ๕ 

๕. พละ ๕ 

๖. โพชฌงค์ ๗ 

๗. มรรคมีองค์ ๘ 

โพธิปักขิยธรรมนี้ ตามที่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ตรัสไว้เพียงเป็นคำรวมๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อองค์ธรรม นอกจากในสังยุตตนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก ที่มีพุทธพจน์ตรัสระบุไว้ว่า ได้แก่ อินทรีย์ ๕ (สํ.ม.๑๙/๑๐๒๔/๓๐๑; ๑๐๔๑–๓/๓๐๕; ๑๐๗๑–๑๐๘๑/๓๑๓–๕) และในคัมภีร์วิภังค์แห่งพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งไขความว่า โพธิปักขิยธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ (อภิ.วิ.๓๕/๖๑๑/๓๓๖) 

ธรรมชุดนี้ เมื่อตรัสระบุชื่อทั้งชุดในพระสูตร ทรงเรียกว่าเป็น อภิญญาเทสิตธรรม เช่น ที.ม.๑๐/๑๐๗/๑๔๑; ที.ปา.๑๑/๑๐๘/๑๔๐; ม.อุ. ๑๔/๕๔/๕๑) คือเป็นอภิญญาเทสิตธรรม ๓๗ และในพระอภิธรรม ท่านแสดงไว้ว่าธรรม ๓๗ ประการนี้เป็น สัทธรรม

นอกจากนี้ ธรรม ๓๗ ประการชุดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น สันติบท คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อการบรรลุสันติ (รวมทั้งเป็น อมตบท และ นิพพานบท เป็นต้น - ขุ.ม.๒๙/๗๐๑/๔๑๔; ขุ.จู.๓๐/๓๙๑/๑๘๘) และเป็น เสรีธรรม หรือ ธรรมเสรี (ขุ.จู.๓๐/๖๘๑/๓๔๐; ๖๘๔/๓๔๒)

ในพระวินัยปิฎก ท่านแสดงธรรม ๓๗ ประการนี้ไว้เป็นคำจำกัดความของคำว่า มรรคภาวนา (ดู วินย.๑/๒๓๖/๑๗๕; ๒/๓๐๘/๒๑๒)

ต่อมา ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา รวมถึงวิสุทธิมัคค์ จึงระบุและแจกแจงไว้ชัดเจนว่า โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ได้แก่ธรรมเหล่านี้ (ดู องฺ.อ.๑/๗๗; อิติ.อ.๒๘๗; ปฏิสํ.อ.๒/๙๕, ๑๙๖, ๒๖๑; วิสุทฺธิ.๓/๓๒๘)

Vism.๖๘๑. วิสุทฺธิ.๓/๓๒

 

สติปัฏฐาน ๔ (ที่ตั้งของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน - Satipaññhàna: foundations of mindfulness)

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - Kàyànupassanà-~ : contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ท่านจำแนกวิธีปฏิบัติไว้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑ สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง ๑ ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ ๑ ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ๑ นวสีวถิกา พิจารณาซากศพในสภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน ๙ ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผู้อื่นเช่นใด ของตนก็จักเป็นเช่นนั้น ๑

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - Vedanànupassanà-~ : contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส และเป็นนิรามิสตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - Cittànupassanà-~ : contemplation of mind; mindfulness as regards mental conditions) คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา - Dhammànupassanà-~ : contemplation of mindobjects; mindfulness as regards ideas) คือ มีสติอยู่พร้อมด้วยความรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจจ์ ๔ ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร เป็นต้น ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นๆ.

D.II.๒๙๐–๓๑๕; M.I.๕๕–๖๓. ที.ม.๑๐/๒๗๓–๓๐๐/๓๒๕–๓๕๑; ม.มู.๑๒/๑๓๑–๑๕๒/๑๐๓–๑๒๗.

 

ปธาน ๔ (ความเพียร - Padhàna: effort; exertion) 

๑. สังวรปธาน (เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น - Sa§vara-padhàna: the effort to prevent; effort to avoid)

๒. ปหานปธาน (เพียรละหรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว - Pahàna-padhàna: the effort to abandon; effort to overcome)

๓. ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น - Bhàvanà-padhàna: the effort to develop)

๔. อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ - Anurakkhanà-padhàna: the effort to maintain) ปธาน ๔ นี้ เรียกอีกอย่างว่า สัมมัปปธาน ๔ (ความเพียรชอบ, ความเพียรใหญ่ - Sammappadhàna: right exertions; great or perfect efforts)

A.II.๗๔,๑๖,๑๕. องฺ.จตุกฺก.๒๑/๖๙/๙๖; ๑๔/๒๐; ๑๓/๑๙.

 

อิทธิบาท ๔ (คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย - Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success)

๑. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป - Chanda: will; zeal; aspiration)

๒. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระ ไม่ท้อถอย - Viriya: energy; effort; exertion; perseverance)

๓. จิตตะ (ความคิดมุ่งไป คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่งที่ทำ - Citta: thoughtfulness; active thought; dedication)

๔. วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น - Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing)

D.III.๒๒๑; Vbh.๒๑๖. ที.ปา.๑๑/๒๓๑/๒๓๓; อภิ.วิ.๓๕/๕๐๕/๒๙๒.

 

อินทรีย์ ๕ (ธรรมที่เป็นใหญ่ในกิจของตน - Indriya: controlling faculty)

๑. สัทธา (ความเชื่อ - Saddhà: confidence)

๒. วิริยะ (ความเพียร - Viriya: energy; effort)

๓. สติ (ความระลึกได้ - Sati: mindfulness)

๔. สมาธิ (ความตั้งจิตมั่น - Samàdhi: concentration)

๕. ปัญญา (ความรู้ทั่วชัด - Pa¤¤à: wisdom; understanding)

หมวดธรรมนี้เรียกอย่างหนึ่งว่า พละ ๕ ที่เรียกว่า พละ เพราะความหมายว่า เป็นพลัง ทำให้เกิดความมั่นคง ซึ่งความไร้ศรัทธาเป็นต้น แต่ละอย่างจะเข้าครอบงำไม่ได้ ส่วนที่เรียกว่าอินทรีย์ เพราะความหมายว่า เป็นใหญ่ในการกระทำหน้าที่แต่ละอย่างๆ ของตน คือเป็นเจ้าการในการครอบงำเสียซึ่งความไร้ศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลงตามลำดับ

S.V.๑๙๑–๒๐๔; ๒๓๕–๒๓๗; Ps.II.๑–๒๙. สํ.ม.๑๙/๘๔๓–๙๐๐/๒๕๖–๒๗๑; ๑๐๖๑–๑๐๖๙/๓๑๐–๓๑๒; ขุ.ปฏิ.๓๑/๔๒๓–๔๖๓/๓๐๐–๓๔๔.

 

พละ ๕ (ธรรมอันเป็นกำลัง - Bala: power) 

องค์ธรรม ๕ อย่างในหมวดนี้ มีชื่อตรงกับ อินทรีย์ ๕ จึงขอให้ดูที่ [๒๕๘] อินทรีย์ ๕

พละหมวดนี้เป็นหลักปฏิบัติทางจิตใจ ให้ถึงความหลุดพ้นโดยตรง

D.III.๒๓๙; A.III.๑๐; Vbh.๓๔๒. ที.ปา.๑๑/๓๐๐/๒๕๒; องฺ.ปญฺจก.๒๒/๑๓/๑๑; อภิ.วิ.๓๕/๘๔๔/๔๖๒.

 

โพชฌงค์ ๗ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ - Bojjhaïga: enlightenment factors)

๑. สติ (ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง - Sati: mindfulness)

๒. ธัมมวิจยะ (ความเฟ้นธรรม, ความสอดส่องสืบค้นธรรม - Dhammavicaya: truth investigation)

๓. วิริยะ (ความเพียร - Viriya: effort; energy)

๔. ปีติ (ความอิ่มใจ - Pãti: zest; rapture)

๕. ปัสสัทธิ (ความผ่อนคลายสงบเย็นกายใจ - Passaddhi: tranquillity; calmness)

๖. สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วแน่ในอารมณ์ - Samàdhi: concentration)

๗. อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามเป็นจริง - Upekkhà: equanimity)

แต่ละข้อเรียกเต็ม มี สัมโพชฌงค์ ต่อท้ายเป็น สติสัมโพชฌงค์ เป็นต้น.

D.III.๒๕๑,๒๘๒; Vbh.๒๗๗. ที.ปา.๑๑/๓๒๗/๒๖๔; ๔๓๔/๓๑๐; อภิ.วิ.๓๕/๕๔๒/๓๐๖.

Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
post