ธรรมะนำชีวิต

บทเกริ่นนำ

พระพุทธศาสนา

หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยม เป็นศาสนาที่เปิดกว้าง เป็นศาสนาที่เมตตา เป็นศาสนาที่ใข้การวิเคราะห์วิจารณ์ถึงเหตุถึงผลได้ไม่ปิดบัง บุคคลจะวิเคราะห์วิจารณ์ไปถึงไหน ปฏิบัติไปถึงไหน ไม่มีความขัดข้อง ไม่มีปกปิดเอาไว้ เป็นศาสนาที่เปิดเผยเปิดกว้าง เป็นศาสนาสากลที่ทันสมัยไม่มีเสื่อม เมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้วก็ตาม ศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์นั้นไม่เสื่อมไปไหน ดีอยู่ตลอด ตรงนี้จึงเรียกว่า คำสอนในพระพุทธศาสนานี้มั่นคง ถ้าบุคคลนำไปปฏิบัติย่อมได้รับความสุขอย่างแท้จริง

โลกทั้งโลกเป็นของเราไม่ได้ เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เราก็เกิดมาพบมันในโลกนี้ โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปอยู่อย่างนี้ เคลื่อนไหวไปมาพร้อมเป็นอนิจจัง

โลกขังเราไว้เป็นกรงขังมีเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกในวัฏสงสาร ติดทุกอย่างอยู่ในโลกใครจะพ้นโลกได้ต้องเรียนโลกให้รู้เพื่อจะวางโลกไม่ติด

ที่มา : หนังสือปัญญาปทีโปนุสรณ์ ๒๕๖๒

สมมุติ วิมุตติ

หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป หลงในความสมมุตินี่แหละจึงเรียกว่ามันหลงโลก โลกธรรมก็คือโลก โลกมันสมมุติไว้เราก็หลงไปตามความสมมุติของโลก นี้แหละเป็นข้อที่สำคัญที่เราจะต้องศึกษาพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้รู้ให้ศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด ทุกอย่างจึงจะไม่หลง เมื่อหากให้เราไม่หลงเราจึงปล่อยวางได้ ถ้าเราเข้าใจในสมมุติแจ่มแจ้งชัด เราจึงจะถึงวิมุตติ คือหลุดพ้นจากสมมุตินี้

ความว่างสุดท้าย

หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป

เราต้องการความว่างสุดท้าย ว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด สอนจิตของตนเองให้รู้โทษของสิ่งเหล่านี้ จึงจะปล่อยวางได้

บุคคลใดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้า จิตของบุคคลนั้นแลจะหลุดพ้นไปเข้าสู่เมืองนฤพานได้

พระนิพพาน

หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป

ทำคนเมาให้สร่าง ไม่เมาแล้ว ฉลาดแล้ว นำความกระหายออกจากที่มันเคยกระหายมันหิวสิ้นไปแห่งความอาลัย ไม่มีอาลัยอาวรณ์ตัดวัฏสงสาร

สิ้นไปแห่งตัณหาความทะเยอทะยานอยาก คลายความกำหนัด สิ้นความยินดีไม่ปรารถนา ดับสนิท จึงจะเข้านิพพานได้

คำนำ

หนังสือเล่มนี้ได้นำอมฤตพจนา ไปใช้กับประสบการณ์ส่วนตัวในชีวิตจริง ในรูปแบบ “คติสอนใจ” ซึ่งไม่ใช่การแปลความหมายของอมฤตพจนา ดังนั้น ข้อคิดที่นำมาใช้ในชีวิตจริง จะเป็นการนำคำสอนของอมฤตพจนามาดัดแปลง เพื่อนำมาใช้สอนใจผู้เขียน

ความเห็นที่ได้แสดงทั้งหมดอาจจะไม่ตรงกับท่านอื่น ผู้เขียนไม่ได้ต้องการให้ผู้อื่นต้องเชื่อและทำตาม แต่ผู้เขียนเพียงแต่สะท้อนความคิดที่ผู้เขียนมีความคิดอย่างไร และนำไปใช้อย่างไรจึงจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ  เช่น การเรียน การทำงาน การลงทุน และการทำบุญ ซึ่งผู้เขียนพอใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต  ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและแข่งขัน กล่าวโดยสรุป คติสอนใจ ผู้เขียนใช้อมฤตพจนาสอนใจในเรื่องต่างๆ อย่างไร และพึงพอใจต่อผลรวมที่ได้รับมาทั้งหมดตลอดชีวิตสะท้อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ความพึงพอใจของผู้เขียนอาจจะมีความแตกต่างจากผู้อื่น แต่เป็นความสุข

และความสำเร็จในชีวิตตามมาตรฐานของผู้เขียนเท่านั้น ย่อมไม่เหมือนระดับความพอใจของผู้อื่น

ความเห็นของผู้เขียนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนท่านอื่น ซึ่งผู้เขียนอยากจะบอกว่าชีวิตของผู้เขียนเริ่มจากไม่มีอะไร ได้ใช้อมฤตพจนาตามการตีความของผู้เขียน นำทางชีวิตมาตลอดจนเป็น ดร.ชัยยุทธ  ปิลันธน์โอวาท จบปริญญาเอกทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ ได้ทุนปริญญาโทจากรัฐบาล  และทุนปริญญาเอกจาก New York University ทำงานกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ๒ กลุ่ม ในตำแหน่งสูงสุดของผู้บริหารมืออาชีพ มีเงินลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สามารถทำให้มีความมั่นคงทั้งครอบครัว มีเงินทำบุญสร้างกุศลตามที่ต้องการ (ในระดับที่พอใจที่จะตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์) มีครอบครัวที่มีความสุข (ไม่ฟุ่มเฟือย)

ความสุขอยู่ที่รู้จักคำว่า “พอ”

คำว่าพออยู่ที่ใจ ใช่ที่ตัวเลข

ตัวเลขเป็นที่มาของความโลภ

จะหยุดความโลภ เมื่อสูญสิ้นฤา

หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน  ขอท่านจงโชคดี

ธรรมะนำชีวิต

อมฤตพจนา : คติสอนใจ

สารบัญ

หน้าที่

ที่มาของหนังสือ : อมฤตพจนา พระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก ๑

คำขอบคุณ ๓

ธรรมะนำชีวิต

อมฤตพจนา : คติสอนใจ

บทที่ ๑ คน ๕

บทที่ ๒ ฝึกตน – รับผิดชอบตน ๒๑

บทที่ ๓ จิตใจ ๓๙

บทที่ ๔ การศึกษา ๕๐

บทที่ ๕ ปัญญา ๖๘

บทที่ ๖ เลี้ยงชีพ – สร้างตัว ๙๓

บทที่ ๗ เพียรพยายาม -ทำหน้าที่ ๑๐๖

บทที่ ๘ ครอบครัว – ญาติมิตร ๑๕๑

บทที่ ๙ การคบหา ๑๖๕

บทที่ ๑๐ การเบียดเบียน – การช่วยเหลือกัน ๒๐๒

บทที่ ๑๑ สามัคคี ๒๒๖

บทที่ ๑๒ การปกครอง ๒๓๑

บทที่ ๑๓ บุญ-บาป  ธรรม-อธรรม  ความดี-ความชั่ว ๒๕๒

บทที่ ๑๔ กรรม ๒๘๙

บทที่ ๑๕ กิเลส ๒๙๖

บทที่ ๑๖ คุณธรรม ๓๑๓

บทที่ ๑๗ วาจา ๓๒๔

บทที่ ๑๘ ชีวิต – ความตาย ๓๓๒

บทที่ ๑๙ พ้นทุกข์ – พบสุข ๓๕๖

พระพุทธสุภาษิต คำสอนประเภทนี้ แม้จะสั้น แต่ก็กินความหมายกว้างขวาง อีกทั้งมีความหมายลึกซึ้ง ทั้งจดจำง่าย กะทัดรัดเหมาะที่จะถือเป็นคติประจำใจ

บทสรุป : พึงเข้าใจว่า พุทธศาสนสุภาษิตทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงคำสอนส่วนเล็กน้อยจากพระไตรปิฎก ผู้อ่านควรที่จะศึกษาเพิ่มเติมเอง   

หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หวังว่าท่านจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้  

ขอขอบคุณ

ที่มาของหนังสือธรรมะนำชีวิต (อมฤตพจนา : คติสอนใจ)

สืบเนื่องมาจากผู้เขียนได้อ่านหนังสือ “อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต” ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) หลายรอบ  มีความประทับใจในหนังสือเล่มดังกล่าว จนกระทั่งอยากให้ชาวพุทธทุกคนมีหนังสือเล่มดังกล่าว ใช้เป็นคู่มือในการดำเนินชีวิต  เพราะเป็นสุภาษิตของพระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก  ที่คัดพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ และสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริง จึงได้ให้มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต และพิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนาจัดพิมพ์เพื่อถวาย/แจกให้แก่ วัด พระภิกษุสงฆ์ (ท่านเจ้าอาวาส) กว่า ๔๓,๐๐๐  แห่งทั่วประเทศ  และโรงเรียนทั่วประเทศกว่า ๓๕,๐๐๐ แห่ง  โรงพยาบาล จำนวนกว่า ๒๕๕ แห่ง  โรงเรียนพระปริยัติกว่า ๒๓๙ แห่ง และผ่านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ  จำนวนที่จัดพิมพ์คือ ๑ ล้านเล่ม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชเจริญพระชนมายุครบ ๘ รอบเมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา

หลังจากที่ได้ถวาย/แจกหนังสืออมฤตพจนาไปแล้ว ได้รับเสียงสะท้อนว่าต้องการให้มีคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งผู้เขียนได้เลือก อมฤตพจนาบางหัวข้อมาอธิบายเพิ่มเติมเป็นคติคำสอนควบคู่ไปด้วยกัน และขอเรียกชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า “ธรรมะนำชีวิต” ซึ่งแต่ละหน้าจะประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ

  1. อมฤตพจนา : พุทศาสนสุภาษิต โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
  2. คติสอนใจ โดยดร.ชัยยุทธ ปิลันธน์โอวาท

ธรรมะนำชีวิต ถูกจัดแบ่งเป็น ๑๙ บท เหมือนอมฤพจนา พุทธศาสนสุภาษิต มี ๑๙ บท เป็นการอธิบายให้ทราบว่า ผู้เขียนได้นำไปใช้กับชีวิตจริงอย่างไร ในแต่ละเรื่องที่คัดออกมา 

ธรรมะนำชีวิต เป็นการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้ในการดำเนินชีวิตในแต่ละช่วงของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น เป็นหลักธรรมที่สามารถนำไปใช้กับทุกชนชาติและศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาพูดแต่ความเป็นจริง  ดังนั้น จึงเป็นหลักธรรมที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย ไม่มีการล้าสมัยตามกาลเวลาและสถานที่

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ และนำไปใช้กับชีวิตจริงของท่านตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย หากมีข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องประการใด  ผู้เขียนขอเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับการคัดเลือกหัวข้อจากหนังสือ อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิตของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 

ผู้เขียน  ขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ที่ได้บรรจงนิพนธ์ หนังสืออมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต ขึ้นมา

คำขอบพระคุณ

หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะได้รับอานิสงส์จากหนังสือ “อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต ฉบับบาลี-ไทย”   นิพนธ์โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ.  ปยุตฺโต) หนังสืออมฤตพจนา เป็นการรวบรวมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุด  ที่เกี่ยวกับวงจรชีวิตของมนุษย์  เป็นความจริงที่ตั้งแต่เกิดเป็นคนจนกระทั่งตาย หลักธรรมที่สำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข การสร้างตัวให้มีความมั่นคงในชีวิต การศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา ความเพียรพยายามทำหน้าที่ให้ประสบความสำเร็จ การสร้างครอบครัวและญาติมิตร และการคบหาคนให้เป็น การเบียดเบียน การช่วยเหลือกัน ความสามัคคี การปกครอง บุญ-บาป ธรรม-อธรรม ความดี-ความชั่ว ความเข้าใจเรื่องกรรม กิเลส คุณธรรม วาจา ชีวิต-ความตาย ท้ายที่สุดเกี่ยวกับหลักธรรมที่ทำให้พ้นทุกข์แล้วจึงพบสุข

ลำดับของอมฤตพจนา โดยการจัดกลุ่มหลักธรรมตามวงจรชีวิตของมนุษย์  ทำให้มีความเข้าใจในชีวิตของคนๆ หนึ่ง มีการพัฒนาชีวิตตั้งแต่เกิดเป็นคนต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เพื่อที่จะได้พบกับโลกธรรม ๘ กล่าวคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ และแล้วก็จากโลกไป จะไปที่ใด มี ๒ เส้นทางคือ โลกียภูมิ (เวียนว่ายตายเกิด ๓๑ ภูมิ)  หรือโลกุตรภูมิ (หยุดการเวียนว่ายตายเกิด) ซึ่งเส้นทางของชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำการศึกษาต่อไปในเรื่อง บาป-บุญ ความดี-ความชั่ว และแนวทางปฏิบัติเพื่อไปโลกียภูมิ หรือโลกุตรภูมิ อย่างไรก็ตามอมฤตพจนา มีหัวข้อที่ครอบคลุมหลักธรรมสำคัญที่เราใช้เป็นเข็มทิศทำการศึกษาต่อ

ขอกราบขอบพระคุณ     ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)  ที่ปูพื้นหลักธรรมสำคัญในหนังสืออมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิต โดยคัดเลือกหลักธรรมที่สำคัญแต่ละช่วงของชีวิตของการเกิดมาเป็นคน จะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ชีวิตมีความสำเร็จและความสุขในการทำงานนอกจากนี้ ผมต้องขอบคุณดร.อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ซึ่งเป็นภรรยาที่รัก ที่ให้กำลังใจในการเขียนหนังสือ “ธรรมะนำชีวิต” โดยการนำหลักธรรม อมฤตพจนา : พุทธศาสนสุภาษิตมาขยายความในชีวิตจริง  เพื่อจะได้นำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตจริง และตั้งชื่อหนังสือชื่อ “ธรรมะนำชีวิต”

ธรรมะนำชีวิต

อมฤตพจนา : คติสอนใจ

อมฤตพจนา

  1. คน (๒)

นานาทิฏฺิเก นานยิสฺสสิ เต

มนุษย์ทั้งหลายต่างความคิดต่างความเห็นกัน

ท่านจะกำหนดให้คิดเห็นเหมือนกันหมด เป็นไปไม่ได้

๒ [๐๑.๐๒] (๒๗/๗๓๐)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนเราถึงแม้จะเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน เวลาเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างกัน ทั้งทางด้านความคิด/นิสัยใจคอ
  2. จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างเราทุกเรื่อง
  3. ส่วนที่คิดคล้ายกันก็อาจจะมี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความโลภ โกรธ หลง
  4. ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อาจจะนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิมก็ได้ ขอให้เปิดใจให้กว้างในการยอมรับความแตกต่าง
  5. ของอาจจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีผู้นำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ของอย่างเดียวกันอาจจะเป็นภาระของอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นราคาที่รวมทุกอย่างเหมือนกัน

อมฤตพจนา

  1. คน (๕)

ตเถเวกสฺส กลฺยาณํ ตเถเวกสฺส ปาปกํ

ตสฺมา สพฺพํ น กลฺยาณํ สพฺพํ วาปิ น ปาปกํ

สิ่งเดียวกันนั่นแหละ ดีสำหรับคนหนึ่ง 

แต่เสียสำหรับอีกคนหนึ่ง

เพราะฉะนั้น สิ่งใดๆ มิใช่ว่าจะดีไปทั้งหมด

และก็มิใช่จะเสียไปทั้งหมด

๕ [๐๑.๐๕] (๒๗/๑๒๖)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ในโลกนี้สิ่งต่างๆ จะมี ๒ ด้านเสมอ
  2. มีมืดก็มีสว่าง / มีดำก็มีขาว / มีรักก็มีเกลียด / มีชอบก็มีไม่ชอบ / มีถูกก็มีแพง
  3. คนมีเงินชอบดอกเบี้ย (รับ) แต่คนกู้ไม่ชอบดอกเบี้ย (จ่าย)
  4. นายจ้างชอบให้ทำงานหนัก แต่จ่ายน้อย
  5. ลูกจ้างชอบทำงานสบาย แต่อยากได้เงินมาก
  6. คนขายของชอบขายให้ได้ราคา (สูง) ในขณะที่ผู้ซื้อชอบซื้อของราคาถูก

อมฤตพจนา

  1. คน (๖)

อุกฺกฏฺเ สูรมิจฺฉนฺติ มนฺตีสุ อกุตูหลํ

ปิยญฺจ อนฺนปานมฺหิ อตฺเถ ชาเต จ ปณฺฑิตํ

เมื่อเกิดเหตุร้ายแรง ย่อมต้องการคนกล้าหาญ

เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้น ย่อมต้องการคนหนักแน่น

เมื่อมีข้าวน้ำบริบูรณ์ ย่อมต้องการคนที่รัก

เมื่อเกิดเรื่องราวลึกซึ้ง ย่อมต้องการบัณฑิต

๖ [๐๑.๐๖] (๒๗/๙๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงหรือเกิดวิกฤต การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ย่อมต้องการคนที่เป็นผู้นำ
  2. เมื่อเกิดข่าวตื่นเต้น ย่อมต้องการคนที่ควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำที่สามารถควบคุมและนำคนหมู่มาก
  3. เมื่อมีข้าวน้ำบริบูรณ์ ย่อมต้องการคนที่รัก เมื่อท่านมีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ย่อมต้องการคนที่รัก
  4. เมื่อเกิดเรื่องราวลึกซึ้ง ย่อมต้องการบัณฑิต เมื่อต้องพบกับเหตุการณ์ที่ลึกซึ้งย่อมต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีประสบการณ์รอบด้าน

อมฤตพจนา

  1. คน (๑๐)

ทุลฺลโภ องฺคสมฺปนฺโน

คนที่มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง หาได้ยาก

๑๐ [๐๑.๑๐] (๒๗/๓๐๐)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนที่มีความสามารถในทุกด้านหาได้ยาก
  2. คนที่มีความสามารถหลายด้านพอหาได้
  3. คนที่ไม่มีความสามารถในด้านใดเลย หาไม่ยาก
  4. คนจำนวนมากไม่รู้ตัวเองว่ามีความสามารถด้านใด
  5. คนที่มีความสามารถหลายด้าน ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าจะทำรายได้ได้ดีกว่าคนที่รู้เฉพาะด้าน
  6. คนที่มีการศึกษาสูง ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ว่าจะมีความสามารถรอบด้าน หรือมีความสามารถมาก
  7. คนที่มีการศึกษาต่ำ ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ว่าจะไม่มีความสามารถในด้านใดเลย
  8. คนที่มีการศึกษาสูง ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าจะมีรายได้สูง
  9. คนที่มีการศึกษาต่ำ ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าจะมีรายได้ต่ำ
  10. คนทีมีการศึกษาสูงและมีประสบการณ์มาก ย่อมจะประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นส่วนใหญ่

อมฤตพจนา

  1. คน (๑๓)

มาเส มาเส สหสฺเสน โย ยเชถ สตํ สมํ

เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ มุหุตฺตมปิ ปูชเย

สา เยว ปูชนา เสยฺโย ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํ

ผู้ใดใช้ทรัพย์จำนวนพัน ประกอบพิธีบูชาทุกเดือน

สม่ำเสมอตลอดเวลาร้อยปี

การบูชานั้นจะมีค่ามากมายอะไร

การยกย่องบูชาบุคคลที่อบรมตนแล้วคนหนึ่ง

แม้เพียงครู่เดียวประเสริฐกว่า

๑๓ [๐๑.๑๓] (๒๕/๑๘)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. การบูชาโดยหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ที่ตนเชื่อ) โดยใช้เงินจัดทำพิธีกรรมต่างๆ จำนวนมาก ไม่อาจจะทำให้แก้ปัญหาได้ เปรียบเทียบกับการขอคำปรึกษาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจจะได้ผลสำเร็จ
  2. อย่าหลงงมงายเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังจะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะทุกอย่างต้องแก้ไขที่เหตุปัจจัย โดยเฉพาะความทุกข์ หรือการแก้ปัญหาทุกเรื่องจะต้องค้นหาสาเหตุให้พบ และแก้ที่ต้นเหตุ
  3. ผู้อบรมตนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้แม่นยำกว่าผู้ที่ใช้ทรัพย์อย่างมากประกอบพิธีกรรมในการบูชาต่างๆ โดยหวังจะได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยแก้ไขปัญหา

อมฤตพจนา

  1. คน (๑๔)

น ชจฺจา วสโล โหติ

น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ

กมฺมุนา วสโล โหติ

กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ

ใครๆ จะเป็นคนเลวเพราะชาติกำเนิด ก็หาไม่

ใครๆ จะเป็นคนประเสริฐเพราะชาติกำเนิด ก็หาไม่

คนจะเลว ก็เพราะการกระทำ ความประพฤติ

คนจะประเสริฐ ก็เพราะการกระทำ ความประพฤติ

๑๔ [๐๑.๑๔] (๑๓/๗๐๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ชาติกำเนิด ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่า คนจะเลวหรือประเสริฐ
  2. ความประพฤติ จะเป็นตัวกำหนดว่าเป็นคนเลวหรือประเสริฐ
  3. ความยากดีมีจน ไม่ได้กำหนดว่าเป็นคนเลวหรือประเสริฐ
  4. ชาติกำเนิด ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสำเร็จในการทำงาน หรือความสำเร็จในการเรียน
  5. ชาติกำเนิด เป็นเพียงสิ่งสมมติในสังคม
  6. คนเราเลือกเกิดไม่ได้ การที่เกิดมาเป็นลูกคนจนใช่ว่าจะต้องจนตลอดชีวิต หากมีความขยันมีปัญญารู้จักทำมาหากิน รู้จักเก็บออมและรู้จักบริหารเงินก็ย่อมจะมั่งมีขึ้นมาก็ได้
  7. ในทางตรงกันข้าม เกิดเป็นลูกคนรวยแต่ช่วงสุดท้ายอาจจะยากจนก็เป็นได้ เพราะขาดปัญญาไม่รู้จักทำมาหากินใช้เงินเกินหาได้ ในที่สุดก็หมดตัว

อมฤตพจนา

  1. คน (๑๙)

เอวเมว มนุสฺเสสุ ทหโร เจปิ ปญฺวา

โส หิ ตตฺถ มหา โหติ เนว พาโล สรีรวา

ในหมู่มนุษย์นั้น ถึงแม้เป็นเด็ก ถ้ามีปัญญา ก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่

แต่ถ้าโง่ ถึงร่างกายจะใหญ่โต ก็หาเป็นผู้ใหญ่ไม่

๑๙ [๐๑.๑๙] (๒๗/๒๕๔)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ปัญญาจะเป็นตัวกำหนดความเป็นผู้ใหญ่ มิใช่ความใหญ่โตของร่างกาย
  2. มีปัญญาประเสริฐสุด เพราะถ้ามีปัญหาจะสามารถแก้ปัญหาได้ แม้จะอยู่ในภาวะลำเค็ญ
  3. มีปัญญาเป็นขั้นสูงสุดของการสร้างบุญบารมี คือความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง สามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิด
  4. คนที่มีปัญญา จะมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน
  5. คนที่มีปัญญามีความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ ดังเช่น เหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ปี ๒๕๔๐ องค์กรที่มีมีผู้นำที่มีปัญญา สามารถนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นปัญหาทั้งปวงในยามวิกฤตและสามารถนำพาองค์กรและผู้ถือหุ้นได้เงินลงทุนกลับคืน และได้โอกาสซื้อของราคาถูก (ซื้อหุ้น) เพราะวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำทำให้แปลงวิกฤตเป็นโอกาส
  6. คนที่มีปัญญาตระหนักดีว่า สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นอนิจจังมีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในโลกที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการทำงานหรือผลิตสินค้า/บริการ ผู้มาใหม่พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สามารถเอาชนะผู้อยู่เดิมได้ เช่น โทรศัพท์ Apple สามารถเอาชนะ Nokia ได้ เพราะเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า

อมฤตพจนา

  1. คน (๒๐)

น เตน เถโร โหติ เยนสฺส ปลิตํ สิโร

ปริปกฺโก วโย ตสฺส โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ

คนจะชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ เพียงเพราะมีผมหงอก ก็หาไม่

ถึงวัยของเขาจะหง่อม ก็เรียกว่าแก่เปล่า

๒๐ [๐๑.๒๐] (๒๕/๒๙)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนจะชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพราะอายุมาก ผมหงอก หรือแก่หง่อม
  2. คนที่จะชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ ก็เพราะมีความโอบอ้อมอารี น่าเคารพนับถือ
  3. คนที่เป็นผู้ใหญ่ จะเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ มีความยุติธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้น้อย
  4. คนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพราะอายุมากหรือทำงานมานาน
  5. คนที่จะเป็นผู้ใหญ่ จะต้องมีความคิดอ่านรอบด้าน มีความสามารถรอบด้านเป็นที่ยอมรับของคนในองค์กร โดยเฉพาะมีลักษณะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ถึงแม้อายุจะน้อยแต่คนในองค์กรให้การยอมรับในการบังคับบัญชา

อมฤตพจนา

  1. คน (๒๘)

ยสํ ลทฺธาน ทุมฺเมโธ อนตฺถํ จรติ อตฺตโน

อตฺตโน จ ปเรสญฺจ หึสาย ปฏิปชฺชติ

คนทรามปัญญา ได้ยศแล้ว

ย่อมประพฤติแต่การอันไม่เกิดคุณค่าแก่ตน

ปฏิบัติแต่ในทางที่เบียดเบียนทั้งตนและคนอื่น

๒๘ [๐๑.๒๘] (๒๗/๑๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนที่ไม่ดี ใช้ปัญญาในทางที่ไม่ดี เมื่อได้มีอำนาจก็จะใช้ไปในทางที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
  2. คนไม่ดีได้อำนาจ มักจะสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งตนเองและคนอื่น
  3. สังคมจะสงบและอยู่เย็นเป็นสุข หากคนดีมีอำนาจ ใช้อำนาจในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
  4. คนที่ปัญญาทราม มักจะหมกมุ่นแต่ในเรื่องการหาประโยชน์ส่วนตน โดยใช้อำนาจในทางที่ไม่ดี

อมฤตพจนา

  1. คน (๓๐)

นินฺทนฺติ ตุณฺหิมาสีนํ

นินฺทนฺติ พหุภาณินํ

มิตภาณิมฺปิ นินฺทนฺติ

นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต

คนนั่งนิ่ง เขาก็นินทา

คนพูดมาก เขาก็นินทา

แม้แต่คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทา

คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก

๓๐ [๐๑.๓๐] (๒๕/๒๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. การนินทาเกิดขึ้นทุกแห่ง ถือเป็นเรื่องธรรมดา
  2. คนชอบนินทาคนอื่น แต่ไม่ชอบให้ผู้อื่นนินทาตน
  3. อย่าได้หวั่นไหวกับคำนินทา จงเป็นคนที่มีความหนักแน่นต่อคำนินทา มิฉะนั้นจะตกเป็นเหยื่อของผู้นินทา
  4. หากท่านถูกนินทาจนทำให้คนเชื่อว่าเป็นจริง ท่านก็ต้องหาทางชี้แจงข้อเท็จจริงให้ถูกที่ถูกเวลา จะปล่อยให้คนนินทาจนกระทั่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องจริง ท่านควรที่หาจังหวะที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเปิดเผยและมีเหตุผล เพื่อที่จะป้องกันตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อคำนินทา
  5. การต่อสู้กับคำนินทาคือการชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมหลักฐานอย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้และจะทำให้คนที่ชอบนินทาไม่กล้าที่จะนินทาอีก เพราะผู้ที่รับฟังจะไม่ให้น้ำหนักของคำนินทา

อมฤตพจนา

  1. คน (๓๑)

น จาหุ น จ ภวิสฺสติ น เจตรหิ วิชฺชติ

เอกนฺตํ นินฺทิโต โปโส เอกนฺตํ วา ปสํสิโต

คนที่ถูกนินทาอย่างเดียว หรือได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว

ไม่เคยมีมาแล้ว จักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ ก็ไม่มี

๓๑ [๐๑.๓๑] (๒๕/๒๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนที่ถูกนินทาอย่างเดียว หรือได้รับการสรรเสริญอย่างเดียว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
  2. อย่าได้หวั่นไหวในคำนินทาและคำสรรเสริญ
  3. คนที่ทำงานด้วยกันในหมู่มาก ย่อมมีความเห็นที่หลากหลาย จะมีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
  4. การนินทาและการสรรเสริญ ถือเป็นเรื่องธรรมดา
  5. การนินทาและการสรรเสริญ เป็นสัจธรรมของโลกธรรมแปด อันประกอบด้วยด้านพอใจคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ด้านไม่พึงใจคือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
  6. ใครตัดโลกธรรมแปดได้ก็จะสามารถตัดกิเลสได้ โลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความหลง)
  7. ผู้ที่ตัดโลกธรรมแปดและกิเลสลงได้ ก็จะสามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดคือ การบรรลุขั้นพระอรหันต์
  8. จงฝึกตนให้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแปด และพยายามตัดกิเลสให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

อมฤตพจนา

  1. คน (๓๓)

ครหาว เสยฺโย วิญฺญูหิ ยญฺเจ พาลปฺปสํสนา

วิญญูชนตำหนิ ดีกว่าคนพาลสรรเสริญ

๓๓ [๐๑.๓๓] (๒๖/๓๘๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ผู้รู้โดยแจ่มแจ้งชัดเจน ตำหนิและอธิบายให้ฟังว่า สิ่งที่ทำไม่ถูกต้องเพราะอะไร สิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้ไม่ทำผิดอีกในอนาคต ได้เรียนรู้จากผู้มีความรู้
  2. สำหรับคำสรรเสริญของคนพาลไม่ได้ก่อประโยชน์ในชีวิต เพราะคำสรรเสริญดังกล่าวอาจจะสร้างความเสียหายในอนาคต เพราะหลงเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ทำให้ทำความผิดซ้ำอีก อันจะทำให้เกิดหายนะก็เป็นได้
  3. วิญญูชนตำหนิตามข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับและนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกเป็นสิ่งที่ดี เพราะมิฉะนั้นเราอาจจะมีการทำผิดซ้ำอีกหากไม่มีใครตำหนิ
  4. ส่วนผู้ที่เป็นคนพาลสรรเสริญเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง เพราะคนพาลมักจะทำสิ่งที่ไม่ดีตามนิสัยของตน เพราะคนชั่วทำดียาก และคนชั่วทำความชั่วง่าย

อมฤตพจนา

  1. คน (๓๔)

ปริภูโต มุทุ โหติ อติติกฺโข จ เวรวา

อ่อนไป ก็ถูกเขาดูหมิ่น แข็งไป ก็มีภัยเวร

๓๔ [๐๑.๓๔] (๒๗/๑๗๐๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่ได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ยอมรับ ก็จะถูกดูแคลนว่าเป็นตัวถ่วงของกลุ่ม มักเป็นที่น่ารังเกียจของหมู่คณะ
  2. ในการทำงานกับผู้อื่น การแสดงท่าทีแข็งกร้าวจะทำให้สร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว หรือทำให้เกิดความหมั่นไส้
  3. ในการทำงานหากผลงานออกมาย่อหย่อนเกินไปจะทำให้ถูกดูถูกว่าความสามารถไม่ถึงระดับที่ยอมรับได้
  4. ในทางตรงกันข้าม ในการทำงานที่แสดงความมั่นใจตัวเองสูงเกินไป และแสดงท่าทีดูแคลนผู้อื่นจะทำให้ผู้ที่เป็นศัตรูและไม่ให้ความร่วมมืออาจกลั่นแกล้งจนกระทั่งทำให้งานที่ออกมาเกิดปัญหา อันจะส่งผลให้เกิดความเสียหายในผลงานของตนเองและขององค์กร

อมฤตพจนา

  1. คน (๓๕)

อนุมชฺฌํ สมาจเร

พึงประพฤติให้พอเหมาะพอดี

๓๕ [๐๑.๓๕] (๒๗/๑๗๐๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ในการทำงานร่วมกับคนอื่น ควรให้เกียรติและเคารพในความเห็นของผู้อื่น
  2. ให้ใช้หลัก “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” ในการทำงาน
  3. จงทำงานด้วยความสุข โดยการยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อเขาต้องการ
  4. ในที่ประชุม จงอย่าหักหน้าผู้อื่นและยกตนข่มท่าน
  5. ในการเสนอความเห็นต่างในที่ประชุม ให้มีศิลปะในการนำเสนอที่ไม่โจมตีความคิดของผู้อื่น เพื่อเชิดชูความเห็นของตัวเอง 

ตัวอย่างของการเสนอ :  เรียนท่านประธานและคณะกรรมการ ผมขอเรียนเสนอให้พิจารณาทางเลือกดังนี้… (คือกระจายทางเลือกให้ที่ประชุมพิจารณา มิใช่โจมตีเจ้าของความคิดหนึ่งความคิดใด)

ธรรมะนำชีวิต

อมฤตพจนา : คติสอนใจ

อมฤตพจนา

  1.  ฝึกตน (๓๖)

สนาถา วิหรถ มา อนาถา

จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจ อย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง

๓๖ [๐๒.๐๑] (๒๔/๑๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ในการดำเนินชีวิต จะต้องเป็นคนที่มีหลักในการใช้ชีวิต เพราะในยามที่ต้องการพึ่งพาหาความช่วยเหลือ เหลียวไปทางหนึ่งทางใดก็ยังพอมีคนช่วยให้อุ่นใจคลายทุกข์
  2. อย่าเป็นคนที่ไม่มีหลักในการทำงาน (หลักลอย) เพราะจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
  3. การดำเนินชีวิตอย่างมีหลักยึดเหนี่ยว จะทำให้มีความเชื่อมั่นในการทำงาน การแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างมีระบบ
  4. คนไร้ที่พึ่ง จะทำให้ชีวิตมีแต่ความหดหู่ เวลาเกิดปัญหาก็จะมีความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ โดดเดี่ยว มุมมองในชีวิตก็มีแต่เรื่องเศร้าหมอง จะต้องแก้ไขโดยให้เรียนรู้การเป็นผู้รับก่อนยามที่ต้องการ และที่ดีกว่าคือการเป็นผู้ให้ เพราะผู้ให้จะเป็นที่รัก

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๓๗)

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ

ตนแลเป็นที่พึ่งของตน

๓๗ [๐๒.๐๒] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่พึ่งผู้อื่นตลอดเวลา
  2. ชีวิตจะเข็มแข็งต้องเรียนรู้ที่จะช่วยตัวเอง
  3. การช่วยตัวเองจะทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง
  4. พ่อแม่เลี้ยงดูเราได้ก็เพียงระยะหนึ่งของชีวิต
  5. ชีวิตจะแข็งแกร่งถ้าหัดช่วยงานพ่อแม่ จะทำให้มีความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
  6. ท้ายสุดของชีวิต  ที่พึ่งที่จะอยู่ด้วยกับเราตลอดชีวิตและตลอดเวลาทุกลมหายใจก็คือตัวเราเอง ไม่มีใครหายใจแทนเราได้

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๓๘)

อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ

มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ คือได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก

๓๘ [๐๒.๐๓] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. การฝึกตนเองให้เรียนรู้รอบด้าน จะทำให้สามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้โดยไม่หวั่นเกรงใดๆ
  2. การฝึกตนเองให้ชำนาญในด้านต่างๆ เสมือนมีที่พึ่งติดตามตัวเราไปทุกที่ (ทุกลมหายใจ) เป็นเหมือนเงาติดตามตัวไปทุกที่/ทุกเวลา
  3. การที่จะฝึกตนให้มีความสามารถจะต้องฝึกตนตั้งแต่งานระดับต่ำก่อนเพื่อที่จะเข้าใจงาน จะสำเร็จได้จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ระดับล่างแล้วจึงจะปรับระดับความยากของงานในระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ
  4. การฝึกงานทุกระดับตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง จะทำให้เห็นความสัมพันธ์ของงานทุกระดับ การแก้ไขปัญหาจะแม่นยำขึ้น
  5. ผู้ที่ทำงานเริ่มต้นจากระดับสูงเลยโดยไม่ได้เรียนรู้งานระดับล่าง (เพราะครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) มักจะไปไม่รอดเวลาพบวิกฤตเพราะมองปัญหาไม่ออก
  6. ดังนั้นควรจะฝึกตนให้เรียนรู้งานทุกระดับ

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๔๒)

นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ

รักอื่นเสมอด้วยรักตน ไม่มี

๔๒ [๐๒.๐๗] (๑๕/๒๙)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ทุกคนมีความรักในตนเองมากที่สุด
  2. เพราะรักตนมากจนเกินไป จะนำไปสู่การเห็นแก่ตัว
  3. ความรักในตนเอง ควรอยู่ในกรอบที่ไม่เป็นความเห็นแก่ตัว ควรอยู่ในกรอบของการละอายต่อการทำชั่ว / ทำบาป
  4. รักตนให้ถูก ควรจะรักษากาย วาจา ใจ ให้อยู่ในศีลและธรรม

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๔๙)

อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

ตนทำชั่ว ตัวก็เศร้าหมองเอง

อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

ตนไม่ทำชั่ว ตัวก็บริสุทธิ์เอง

๔๙ [๐๒.๑๔] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนเราจะรู้แก่ใจตัวเอง ว่ากำลังทำดีหรือชั่ว
  2. หากทำความชั่วอยู่ จิตใจก็เศร้าหมอง เพราะหลอกตัวเองไม่ได้
  3. หากทำดี จิตใจก็เบิกบาน เรารู้ตัวเอง
  4. ตนทำชั่วตัวก็เศร้าหมองเอง จะส่งผลให้การทำงานไม่ดี
  5. ตนไม่ทำชั่ว ตัวก็บริสุทธิ์เอง ส่งผลทำให้จิตใจเบิกบานเกิดความคิดสร้างสรรค์ ผลงานออกมาก็จะดีตามไปด้วย

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๕๐)

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ

ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว

นาญฺโ อญฺ วิโสธเย

คนอื่นทำคนอื่น ให้บริสุทธิ์ไม่ได้

๕๐ [๐๒.๑๕] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ความดี ความเลว เป็นของเฉพาะตัว ไม่สามารถทำแทนกัน
  2. ทำดีได้ดี ทำชัวได้ชั่ว เป็นเรื่องเฉพาะตัว
  3. กรรมใดใครก่อ ผู้ก่อก็ต้องเป็นผู้รับกรรมเอง เป็นกฎแห่งกรรม
  4. การทำบุญหรือบาป เป็นเรื่องเฉพาะตัวทำแทนกันไม่ได้
  5. คนเราจะบริสุทธิ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง บาปบุญที่ได้จากการกระทำที่ได้รับบุญขั้นสูง
  6. หลักไตรสิกขา : ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
  7. การทำใจให้บริสุทธิ์ คือการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดคือปัญญา เป็นขั้นของวิปัสสนาภาวนา อันจะนำไปสู่ขั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือขั้นพระนิพพาน

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๕๑)

นตฺถิ โลเก รโห นาม

ชื่อว่าที่ลับไม่มีในโลก

๕๑ [๐๒.๑๖] (๒๐/๔๗๙)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. สิ่งใดที่ถูกค้นพบ ก็ไม่มีคำว่าเป็นที่ลับอีกต่อไป
  2. สิ่งที่เรียกว่าลับ เป็นที่ลับเฉพาะผู้ที่ยังไม่รู้
  3. สิ่งที่มีในโลกจะถูกค้นพบในวันหนึ่ง แม้แต่สิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา มนุษย์ก็หาวิธีค้นหาจนพบ ความลับก็จะเปิดเผย
  4. ดังนั้น ความลับจึงไม่มีในโลก

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๕๓)

สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ

ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ ตํ เว ปรมทุกฺกรํ

กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำได้ง่าย

ส่วนกรรมใดดีและเป็นประโยชน์ กรรมนั้นแลทำได้ยากอย่างยิ่ง

๕๓ [๐๒.๑๘] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. เป็นธรรมชาติของการสร้างกรรม กรรมที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์ ทำได้ง่าย ส่วนใหญ่จะเป็นกรรมที่เป็นความเห็นแก่ตัว สร้างกิเลส
  2. ส่วนกรรมดีและเป็นประโยชน์ มักจะทำได้ยากยิ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นการเสียสละ ปล่อยวาง ดับกิเลส
  3. กรรมไม่ดี โดยเฉพาะกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) ทำได้ง่าย
  4. กรรมดี โดยเฉพาะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นเรื่องที่ทำยาก
  5. เราควรที่จะฝึกตนให้ทำกรรมดีให้มากในแต่ละวัน

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๕๗)

น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ

ชัยชนะใดกลับแพ้ได้ ชัยชนะนั้นไม่ดี

ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ 

ชัยชนะใดไม่กลับแพ้ ชัยชนะนั้นแลเป็นชัยชนะที่ดี

๕๗ [๐๒.๒๒] (๒๗/๗๐)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ชัยชนะที่แท้จริง จะต้องสามารถรักษาชัยชนะดังกล่าวให้ยั่งยืน
  2. สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนเข้ากฏพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
  3. ความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน แม้แต่จะเป็นชัยชนะในรูปแบบใด
  4. เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ต้องรู้จักคำว่า “พอ” ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะอะไรก็ตาม ไม่มีแชมป์ตลอดกาล
  5. จงตระหนักข้อเท็จจริงว่า ถอยออกในขณะที่ยังเป็นแชมป์อยู่ จะมีศักดิ์ศรีและการกล่าวขวัญมากกว่า ถอยออกเมื่อถูกโค่นออกจากตำแหน่ง

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๕๘)

อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย

ชนะตนนี่แล ดีกว่า

๕๘ [๐๒.๒๓] (๒๕/๑๘)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ก็คือชัยชนะตัวเอง ทั้งนี้เพราะเป็นชัยชนะที่ดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เป็นชัยชนะที่ทำให้สุข เพราะสามารถเอาชนะกิเลสอันมี โลภ โกรธ หลง เป็นชัยชนะที่สามารถนำติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
  2. การเอาชนะตัวเอง โดยเฉพาะการเอาชนะการทำบาป การเอาชนะความเห็นแก่ตัว การเอาชนะการเบียดเบียน การเอาชนะความเกียจคร้าน การเอาชนะดังกล่าวจะทำให้ชีวิตพบแต่ความสุขความเจริญ

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๐)

อตฺตนา โจทยตฺตานํ

จงเตือนตนด้วยตนเอง

๖๐ [๐๒.๒๕] (๒๕/๓๕)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ตัวเราจะรู้ดีกว่าใคร ว่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ การจะทำความดีหรือความชั่วตัวเราย่อมรู้ดี การที่จะลงมือทำความชั่วหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเรา ตัวเราเองเท่านั้นที่จะยับยั้งการกระทำความชั่ว
  2. หมั่นฝึกให้เป็นนิสัยในการคิดให้รอบคอบก่อนทำอะไร ระงับชั่งใจก่อนจะลงมือทำอะไร จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง
  3. ก่อนลงมือกระทำการใดๆ ใจ (จิต) เป็นนาย กายเป็นบ่าว
  4. หลังการลงมือกระทำการไปแล้ว กายเป็นนาย ใจเป็นบ่าว เพราะอาจจะนำมาสู่ความเสียใจในภายหลังจากลงมือทำไปแล้ว

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๓)

อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา ยถญฺมนุสาสติ

ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น

๖๓ [๐๒.๒๘] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นในเรื่องอะไรก็ตาม ก็ควรสอนตัวเองในลักษณะเดียวกัน
  2. การสอนผู้อื่นๆ ต้องเปิดใจให้กว้าง
  3. การให้โดยการสอนวิธีทำมาหากิน จะทำให้มีบริวารที่มีคุณภาพและพร้อมที่จะออกสนามรบพร้อมกับผู้นำ
  4. บทบาทของแต่ละคนเป็นไปตามบทที่ถูกเขียนเอาไว้ ชีวิตเหมือนโรงละครโรงใหญ่
  5. จงมีความอดทนเวลาสอนผู้อื่น ต้องตระหนักว่าวันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจจะเป็นอาจารย์ของเรา

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๔)

สุทสฺสํ วชฺชมญฺเสํ

โทษคนอื่น เห็นง่าย

อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ

แต่โทษตน เห็นยาก

๖๔ [๐๒.๒๙] (๒๕/๒๘)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. โดยทั่วไปเวลาเกิดเหตุไม่ดี คนทั่วไปมักจะปฏิเสธความผิดของตนเอง มักจะโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น
  2. เมื่อทำผิด เราควรที่กล้าหาญยอมรับผิดดีกว่าให้คนอื่นค้นพบว่าความผิดเป็นของใคร การยอมรับหลังจากผู้อื่นจับผิดได้ ไม่ได้ทำให้พ้นความผิดและเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือ
  3. ผู้ที่ทำผิดยอมรับผิดด้วยตนเอง มีความสง่างามดีกว่าคนอื่นค้นพบความจริงว่าใครเป็นผู้ทำผิด

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๗)

อตฺตานํ นาติวตฺเตยฺย

ไม่ควรลืมตน

๖๗ [๐๒.๓๒] (๒๗/๒๓๖๙)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนเราเมื่อได้ดีไม่ควรจะลืมตน เพราะจะเป็นการทำลายบารมี
  2. ความอ่อนน้อมเวลาเป็นใหญ่ เป็นการเสริมการยอมรับ มักจะได้รับการต้อนรับจากผู้ร่วมงาน
  3. ยิ่งใหญ่โต ยิ่งอ่อนน้อม จึงทำให้เป็นที่รัก
  4. คนเราไม่ควรจะลืมตัวตนของตนเอง เช่น เคยเป็นคนจนมาก่อนต่อมาร่ำรวยขึ้นมาไม่ควรลืมอดีตที่เคยจนและลำบาก เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่าคนเราไม่มีอะไรแน่นอน (อนิจจัง) ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากเราประมาท ดังตัวอย่างคือ

ระดับบุคคลและระดับชาติมีความประมาทว่าคนที่เคยรวยเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจผันผวนบุคคลดังกล่าวร่ำรวยเพราะกู้เงินทำธุรกิจแล้วร่ำรวย ก็คิดว่าการที่จะเร่งความรวย ตามทฤษฎีหากเศรษฐกิจขาขึ้นการทำธุรกิจในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำจึงทำการกู้เต็มที่ เพราะเชื่อมั่นในความสามารถของตน พอเกิดความผันผวนทำให้ธุรกิจต่างๆ มีปัญหา เพราะกำลังซื้อหดตัวแต่กำลังการผลิตล้นตลาด ทำให้เกิดการต่อสู้กันโดยการลดราคาสินค้าเพื่อตัดราคาจนกระทั่งผู้ที่ต้นทางแพงจะพ่ายแพ้ก่อนและเกิดปัญหาขาดกระแสเงินสด จะมีผู้แพ้ผู้ชนะ ผู้แพ้ก็ต้องออกจากอุตสาหกรรม ขณะที่ผู้ชนะก็คิดว่าตัวเองเก่ง จึงยังคงทำธุรกิจแบบเดิม วงจรธุรกิจมีขึ้นมีลงซึ่งจะทำให้ประมาทลืมไปว่าธุรกิจใหญ่เพียงใดก็ล้มได้หากเกิดปัญหา ธุรกิจที่ตั้งมานานเพียงใดก็มีสิทธิล้มได้

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๘)

นาญฺ นิสฺสาย ชีเวยฺย

ไม่พึงอาศัยผู้อื่นยังชีพ

๖๘ [๐๒.๓๓] (๒๕/๑๓๔)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. เกิดเป็นคนจะต้องมีความรับผิดชอบในการหาเลี้ยงตัวเองให้ได้
  2. อย่าทำตัวเป็นตัวถ่วง ชีวิตจะต้องไม่หวังที่จะให้ผู้อื่นเลี้ยงดูในยามแก่เฒ่า
  3. ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ในการยังชีพแต่ละวันไม่คาดหวังจะมีผู้ใดมาเลี้ยงดู
  4. การอาศัยตัวเองในยามแก่เฒ่า จะต้องรู้จักออมยามที่อยู่ในวัยทำงานและมีรายได้ดี และจะต้องรู้จักบริหารเงินให้มีดอกเบี้ยและ/หรือเงินปันผลเพียงพอเมื่อเข้าสู่วัยชรา

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๖๙)

อตฺตตฺถปญฺา อสุจี มนุสฺสา

พวกคนสกปรก คิดเอาแต่ประโยชน์ของตัว

๖๙ [๐๒.๓๔] (๒๕/๒๙๖)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนสกปรกมักจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ มักจะเอาเปรียบผู้อื่น
  2. คนที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน จะเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบ คนประเภทนี้ให้อะไรกับผู้ใดจะต้องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบแฝง ให้ระวังคนประเภทนี้ เวลาเอ่ยปากด้วยคำอ่อนหวานจะปนด้วยยาพิษ
  3. ให้อยู่ห่างคนประเภทเห็นแก่ตัว จะทำให้ชีวิตสดใสยิ่งขึ้น
  4. การคบคนดีเพียงไม่กี่คน ย่อมดีกว่าการคบคนที่ไม่ดีเป็นร้อยคน

อมฤตพจนา

๒. ฝึกตน (๗๑)

อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย

การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ถึงจะมาก

ก็ไม่ควรให้เป็นเหตุทำลายประโยชน์ที่เป็นจุดหมายของตน

อตฺตทตฺถมภิญฺาย สทตฺถปสุโต สิยา

กำหนดประโยชน์ที่หมายของตนให้แน่ชัดแล้ว

พึงขวนขวายแน่วในจุดหมายของตน

๗๑ [๐๒.๓๖] (๒๕/๒๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ก่อนที่จะช่วยคนอื่น ดูแลคนในครอบครัวให้ดีก่อน
  2. การช่วยเหลือคน จะต้องเริ่มจากคนในครอบครัวก่อน
  3. การช่วยเหลือผู้อื่น อย่าทำให้คนในครอบครัวได้รับความทุกข์ การช่วยเหลือคนอื่นต้องไม่ทำอะไรเกินกำลัง
  4. การช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป การให้คำแนะนำอาจจะทำให้ชีวิตผู้ได้รับคำแนะนำดีขึ้น

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๒)

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา

ธรรมทั้งหลาย มีใจนำหน้า

๗๒ [๐๓.๐๑] (๒๕/๑๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ธรรมทั้งหลายมีกายและใจ โดยที่ (จิต)ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
  2. สิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ทำก็มาจากใจเป็นผู้สั่งการให้ทำ โดยกายเป็นผู้ทำตามคำสั่งของใจ
  3. ถ้าเป็นคนที่จิตใจดี การกระทำทางกายก็จะดี เพราะจิตใจเป็นผู้บัญชาการ
  4. ถ้าใจมีความเพียงพอกับสิ่งที่มีอยู่ กายก็จะตอบสนองในเรื่องต่างๆ ของชีวิต เพื่อนำไปสู่ความสงบสุข ชีวิตจะเป็นอย่างเรียบง่าย
  5. ในทางตรงกันข้าม ถ้าใจไม่รู้จักพอชีวิตก็จะดิ้นรนอยู่ในโลกธรรมแปด ซึ่งจะทำให้มีแต่ความทุกข์
  6. ทุกข์ (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป)
  • ทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ก็เกิดขึ้นที่จิตใจของตนเองไม่ได้เกิดจากบุคคลอื่น แต่คนทั้งหลายก็คิดว่าคนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์จริงๆ นั้นเป็นเพราะจิตใจของพวกเราเกิดความคิดก็เลยคิดยึดมั่นถือมั่น
  • การที่จิตคิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็ดับไปครั้งหนึ่งเราก็ตายไปชาติหนึ่ง เมื่อเราทุกคนคิดมากๆ ยิ่งคิดหลายอารมณ์เท่าไร เราก็ยิ่งตายมากครั้งเท่านั้น เมื่อจิตคิด เกิดๆ ตายๆ เช่นนี้ก็ทุกข์มาก

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๓)

จิตฺเตน นียติ โลโก

โลกอันจิตย่อมนำไป

๗๓ [๐๓.๐๒] (๑๕/๑๘๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. จิตจะสะสมกรรมดีกรรมชั่ว และเวียนว่ายตายเกิดไปยังภพภูมิต่างๆ
  2. โลกียภูมิ เป็นภูมิผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดโดยจิตจะพาไปตามกรรมที่สร้างไว้ เดินทางไปยังโลกต่างๆ อันประกอบด้วย อบายภูมิ ๔ / มนุษยภูมิ ๑ / เทวภูมิ ๖ / พรหมโลก ๒๐ แบ่งเป็น รูปพรหม ๑๖ และอรูปพรหม ๔ 

รวมเรียกว่า สังสารวัฏ ๓๑ ภูมิ

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๕)

สุทุทฺทสํ สุนิปุณํ ยตฺถ กามนิปาตินํ

จิตนั้นเห็นได้แสนยาก ละเอียดอ่อนยิ่งนัก มักตกไปหาอารมณ์ที่ใคร่

๗๕ [๐๓.๐๔] (๒๕/๑๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. จิตเป็นสิ่งที่ยากแท้หยั่งถึง
  2. จิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
  3. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
  4. จิตเป็นตัวการที่สำคัญของทุกชีวิต
  5. จิตสะสมความดีและความเลว (ชั่ว) ของสรรพสิ่งข้ามภพข้ามชาติ
  6. จิตบันทึกทุกการกระทำของทุกชาติ
  7. จิตเป็นตัวทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด
  8. จิตเป็นธาตุรู้
  9. จิตเป็นอมตะ คือจิตไม่เกิดและไม่ตาย
  10. จิตดั้งเดิมใสบริสุทธิ์
  11. จิตต้องมัวหมอง เพราะถูกกิเลสครอบงำ
  12. กิเลสที่ครอบงำจิต คือโลกธรรม ๘  ลาภ/ยศ/สรรเสริญ/สุข

เสื่อมลาภ/เสื่อมยศ/นินทา/ทุกข์

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๖)

วิหญฺติ จิตฺตวสานุวตฺตี

ผู้ประพฤติตามอำนาจจิต ย่อมเดือดร้อน

๗๖ [๐๓.๐๕] (๒๗/๓๑๖)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ธรรมชาติของจิตมักจะโน้มเอียงไปในทางไม่ดี เพราะจิตได้สะสมสิ่งที่ไม่ดีมานาน
  2. สิ่งที่ยั่วยุทำให้จิตใฝ่ตำจะเป็นกิเลสตัวสำคัญคือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งจะนำมาซึ่งความทุกข์
  3. การที่จะทำให้จิตพ้นจากความทุกข์ จะต้องดับเสียซึ่งกิเลสหรือดับตัณหา ดับอุปาทาน ดับภพ ดับชาติ ชรามรณะดับ ทุกข์ดับ
  4. ทางปฏิบัติสายกลางเพื่อความดับทุกข์คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๘)

จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ

จิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้

๗๘ [๐๓.๐๗] (๒๕/๑๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. จิตที่ผ่านการฝึกด้านสมาธิ จะทำให้มีความสุขเพียงชั่วคราว (ขณะนั่งอยู่ในสมาธิ)
  2. จิตที่ผ่านการฝึกชั้นวิปัสสนา จะทำให้พ้นจากความทุกข์อย่างถาวร
  3. การฝึกจิตเป็นประจำจะเป็นสมาธิหรือวิปัสสนาก็ตาม สิ่งที่ได้รับก็คือความสงบ ความสงบนำความสุขมาให้

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๗๙)

จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี

ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิต

๗๙ [๐๓.๐๘] (๒๕/๑๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งสำคัญในการปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา
  2. ปัญญาเป็นขั้นสูงสุดของพระพุทธศาสนา
  3. ปัญญาและจิตเป็นสิ่งคูกัน กล่าวคือ คนที่มีปัญญาดีจะต้องมีจิตใจที่ดีงามด้วย
  4. เมื่อมีจิตใจดี ปัญญาก็จะคิดแต่เรื่องดี ซึ่งจะทำให้ความสำเร็จตามมา
  5. สังขาร (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโปสังขารการปรุงแต่งของจิตนี้เป็นสิ่งที่จัญไรที่สุด ทำให้คนเกิดทุกข์และวุ่นวาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไม่มีสิ้นสุด

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๘๐)

สจิตฺตมนุรกฺขถ

จงตามรักษาจิตของตน

๘๐ [๐๓.๐๙] (๒๕/๓๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนเราจะต้องมีความเข้าใจจิตใจของตนเองก่อน จึงจะทำให้เข้าใจจิตใจของผู้อื่น
  2. คนเราจะดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับจิตของคนนั้น
  3. จิตเป็นอย่างไร พฤติกรรมของคนๆ นั้นก็จะเป็นเช่นนั้น
  4. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
  5. จิตคิดดี กายก็ทำดี
  6. จิตคิดชั่ว กายก็ทำชั่ว
  7. จิตสงบจึงเห็นทุกข์ (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป) จิตของบุคคลที่ไม่สงบระงับเป็นสมาธิ จิตวุ่นวายแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอก ให้กิเลสหลอกลวงไปอยู่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น จิตใจไม่หนักแน่นมั่นคง ไม่อยู่เป็นสมาธิย่อมมีความทุกข์ ถ้หากเราทำจิตใจของเราให้สงบระงับเป็นสมาธิ เราจึงจะสามารถมองเห็นทุกข์ได้ชัด มองเห็นจิตใจของตนเองสั่นสะเทือนและมีความทุกข์ได้ชัด ปัญญาจึงจะเกิดขึ้นเห็นทุกข์จริง จิตที่เป็นสมาธิจะไม่รั่วไหลไปกับสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๘๑)

จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา

เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง

๘๑ [๐๓.๑๐] (๑๒/๙๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

ทุคติ ภูมิที่ถือว่าไปเกิดแล้วมีความทุกข์ความลำบาก นรก

คติสอนใจ

  1. เมื่อจิตใจมีความเศร้าหมองจะต้องไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ถือว่าไปเกิดแล้วมีความทุกข์ ความลำบาก คือนรก
  2. สาเหตุที่ทำให้จิตมีความเศร้าหมอง มาจากจิตใจได้รับผลกระทบจากการทำบาป หรือถูกครอบงำด้วยกิเลส

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๘๒)

จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเ สุคติ ปาฏิกงฺขา

เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้

๘๒ [๐๓.๑๑] (๑๒/๙๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

สุคติภูมิ หมายถึง ดินแดนอันเป็นที่อยู่ของสัตว์โลกผู้ทำกรรมดี ได้แก่ มนุษยภูมิ เทวภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ

คติสอนใจ

  1. เมื่อจิตใจไม่เศร้าหมองหรือจิตใจมีความเบิกบานหลังความตาย ภพภูมิจะไปเกิดใหม่จะเป็นดินแดนอันเป็นที่อยู่ของสัตว์โลกผู้ทำกรรมดี  อันได้แก่  มนุษยภูมิ  เทวภูมิ รูปพรหม อรูปพรหม
  2. ในการที่จะไปสู่สุคติหลังความตายหรือการเกิดใหม่ จะเป็นภพภูมิใดขึ้นอยู่กรรมที่ทำไว้
  3. ธรรมปฏิบัติที่จะนำทางไปสู่สุคติ คือ ทาน ศีล ภาวนา
  4. การทำทาน จะไปเกิดในมนุษยภูมิ เทวภูมิ
  5. การรักษาศีล จะไปเกิดในเทวภูมิ
  6. การภาวนาถึงขั้นรูปฌาน จะเกิดใหม่เป็นรูปพรหม
  7. การภาวนาถึงขั้นอรูปฌาน จะเกิดใหม่เป็นอรูปพรหม

อมฤตพจนา

๓. จิตใจ (๘๓)

เย จิตฺตํ สญฺเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา

ผู้รู้จักควบคุมจิตใจ จะพ้นไปได้จากบ่วงของมาร

๘๓ [๐๓.๑๒] (๒๕/๑๓)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ผู้ปฏิบัติทางจิตใจที่สำคัญคือ สมาธิภาวนาจะทำให้จิตสงบ จะเกิดในชั้นรูปพรหม หรืออรูปพรหม จิตยังมีการเวียนว่ายตายเกิด
  2. สำหรับผู้ปฏิบัติด้านวิปัสสนาภาวนา เป็นการปฏิบัติทางจิตใจให้ใจบริสุทธิ์ หมดแล้วซึ่งกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) เส้นทางที่จะไปหลังความตายคือพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เป้าหมายสุดท้ายของวิปัสสนาภาวนาคือ การพิจารณาขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงว่า ขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ขันธ์ ๕ มาจากธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อตายธาตุทั้ง ๔ ก็กลับสู่สภาพเดิม คือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนจิตเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ ๕ เกิดความเบื่อหน่ายที่จะเกิดใหม่ เพราะตราบใดที่มีขันธ์ ๕ ก็ยังมีความทุกข์ ดังนั้น จิตจึงสลัดคืนอุปทานขันธ์ ๕ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
  3. ความว่างสุดท้าย (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป)
  • เราต้องการความว่างสุดท้าย ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาว่องไวเฉลียวฉลาดสอนจิตของตนเองให้รู้โทษของสิ่งเหล่านี้ จึงจะปล่อยวางได้
  • บุคคลใดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ห้า จิตของบุคคลนั้นแลจะหลุดพ้นไปเข้าสู่เมืองนิพพานได้

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๘๖)

อวิชฺชา ปรมํ มลํ

ความไม่รู้ เป็นมลทินที่สุดร้าย

๘๖ [๐๔.๐๑] (๒๓/๑๐๕)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. อวิชชา คือความไม่รู้ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง อยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ และเป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด ตามหลักปฏิจจสมุปบาท
  2. อวิชชา ไม่รู้เกี่ยวกับพระอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
  3. อวิชชา ไม่รู้เกี่ยวกับกฏปฏิจจสมุปบาท
  4. อวิชชา เป็นปัจจัย สังขารจึงมี

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๘๗)

วิชฺชา อุปฺปตตํ เสฏฺา

บรรดาสิ่งที่งอกงามขึ้นมา วิชชาประเสริฐสุด

๘๗ [๐๔.๐๒] (๑๕/๒๐๖)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. บรรดาสิ่งที่โรยราร่างกาย อวิชชาหมดไปได้เป็นดีที่สุด
  2. วิชชา คือความรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เช่น ทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
  3. วิชชา เป็นสิ่งที่ดับอวิชชา ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการดับวงจรปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ซึ่งเป็นการดับวงจรที่สร้างความทุกข์ และดับวงจรการเวียนว่ายตายเกิด

คติสอนใจ

  1. ถ้าไม่มีการศึกษาและขาดระเบียบวินัย คนทั้งหลายก็จะทำการต่างๆ ตามใจตนเอง ความวุ่นวายก็จะตามมา
  2. การศึกษาจะเป็นเครื่องนำทางให้คนมีจิตสำนึกที่ดี
  3. การศึกษาทำให้เกิดปัญญา
  4. ปัญญาทำให้สังคมเป็นระเบียบ

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๓)

ตสฺส สํหีรปญฺสฺส วิวโร ชายเต มหา

เมื่ออ่อนปัญญา ช่องทางวิบัติก็เกิดได้มหันต์

๙๓ [๐๔.๐๘] (๒๗/๒๑๔๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. เมื่ออ่อนปัญญาเวลาเกิดปัญหาจะตื่นตระหนกและขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหา
  2. คนอ่อนปัญญา ขยันแต่งานไม่ได้คุณภาพ คนประเภทนี้ยิ่งทำมากยิ่งสร้างความเสียหายมาก
  3. ทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัว ดังนั้นควรที่จะจัดงานให้เหมาะกับความสามารถ
  4. สิ่งที่ต้องระวังก็คือ คนบางประเภทต้องกำหนดเส้นทางการดำเนินชีวิตไว้เลย อย่าปล่อยให้คิดเองอาจจะสร้างปัญหา
  5. คนบางคนเราให้อยู่เฉยๆ แล้วเลี้ยงดู อาจจะเสียหายน้อยกว่ามอบหมายให้ทำงาน เพราะความเสียหายจากงานที่ทำมีมากกว่าผลที่ได้รับ

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๔)

กิจฺฉา วุตฺติ อสิปฺปสฺส

คนไม่มีศิลปวิทยา เป็นอยู่ยาก

๙๔ [๐๔.๐๙] (๒๗/๑๖๕๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนที่ทำงานโดยไม่ยอมเรียนรู้ให้จริงจัง มักจะสร้างปัญหาให้กับหมู่คณะ
  2. คนที่ขาดไหวพริบ ยิ่งทำยิ่งสร้างปัญหา
  3. คนที่ไม่มีสมาธิในการทำงาน มักจะสร้างปัญหากับงาน
  4. คนที่ไม่มีศิลปวิทยา จะเป็นที่รังเกียจของผู้ร่วมงาน

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๖)

วิรุฬฺเหถ เมธาวี เขตฺเต พีชํว วุฏฺิยา

คนมีปัญญาย่อมงอกงาม ดังพืชในนางอกงามด้วยน้ำฝน

๙๖ [๐๔.๑๑] (๒๗/๒๑๔๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนมีปัญญาจะสามารถแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ
  2. คนมีปัญญาจะไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์คับขัน
  3. คนมีปัญญาจะหาทางออกได้อย่างไม่หวาดกลัว
  4. คนมีปัญญาจะหาทางแก้ไขไว้หลายทาง และมีการกำหนดแนวทางไว้หลายรูปแบบ
  5. คนมีปัญญาย่อมไม่ประมาทในการทำงานในเรื่องต่างๆ

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๗)

ภเวยฺย ปริปุจฺฉโก

พึงเป็นนักสอบถาม ชอบค้นหาความรู้

๙๗ [๐๔.๑๒] (๒๘/๙๔๙)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ความรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราใฝ่เรียนรู้ชอบค้นคว้า ชอบซักถามจากผู้รู้
  2. ความรู้ในยุคปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก และเทคโนโลยีทำให้หาความรู้ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
  3. ในยุคปัจจุบันความรู้สามารถหาได้ไม่ยาก ถ้าเรียนรู้วิธีการตั้งคำถามให้เป็น เช่น ต้องการรู้อะไรก็ถาม Google
  4. ถามให้เป็นแล้วจะพบกับความเร็วอย่างเหลือเชื่อในคำตอบที่ได้รับ
  5. เลือกคำตอบให้เป็น เพราะคำตอบอาจจะมีมากมายขึ้นอยู่กับสถานการณ์

คติสอนใจ

  1. ควรจะศึกษาวิชาที่สามารถนำมาทำมาหากินได้
  2. วิชาที่ชอบอาจจะทำมาหากินได้ แต่ทำมาหาไม่พอกิน ควรเลือกเป็นวิชารองลงไป
  3. เสียเวลาเรียนเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน เลือกเรียนสาขาที่ทำรายได้ดีเพื่อความมั่นคงในชีวิต
  4. วิชาที่ชอบแต่ไม่สามารถช่วยให้มีรายได้เพียงพอ ให้เลือกเป็นวิชารอง
  5. อย่าหยุดการเรียนรู้ ถึงแม้จะจบหลักสูตรแล้วก็ตาม เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจทำให้สิ่งที่เรียนมาล้าสมัย

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๙)

สาธุ โข สิปฺปกํ นาม อปิ ยาทิสกีทิสํ

ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ไม่ว่าอย่างไหนๆ ให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น

๙๙ [๐๔.๑๔] (๒๗/๑๐๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๙๙)

สาธุ โข สิปฺปกํ นาม อปิ ยาทิสกีทิสํ

ขึ้นชื่อว่าศิลปวิทยา ไม่ว่าอย่างไหนๆ ให้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น

๙๙ [๐๔.๑๔] (๒๗/๑๐๗)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ทุกวิชาความรู้มีประโยชน์ทั้งนั้น เพียงแต่เป็นประโยชน์แตกต่างกัน
  2. ควรเลือกวิชาที่ให้ประโยชน์ต่อการทำมาหากินหรือยังชีพ เมื่อเลี้ยงตัวเองได้แล้วจะเรียนวิชาอื่นเป็นประโยชน์การช่วยผู้อื่นก็ได้ ถึงแม้จะไม่ได้เงิน เช่นทำงานด้านการกุศล
  3. การศึกษาเป็นสิ่งจำเป็น ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา และรูปแบบของการศึกษาทำให้การเข้าถึงเรื่องต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  4. ปัจจุบันและอนาคตเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) ทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์เรียนรู้จากมนุษย์ในทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ AI ทำงานแทนมนุษย์ในด้านต่างๆ เกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพใด
  5. ดังนั้นมนุษย์จึงหยุดการเรียนรู้ไม่ได้ มิฉะนั้นมนุษย์จะตกเป็นลูกน้องของ AI
  6. สิ่งเดียวที่ AI ยังทำไม่ได้คือ การทำงานของจิต

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๑๐๐)

สพฺพํ สุตมธีเยถ หีนมุกฺกฏฺมชฺฌิมํ

สพฺพสฺส อตฺถํ ชาเนยฺย น จ สพฺพํ ปโยชเย

โหติ ตาทิสโก กาโล ยตฺถ อตฺถาวหํ สุตํ

อันความรู้ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าต่ำ สูง หรือปานกลาง

ควรรู้ความหมาย เข้าใจทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่าง

วันหนึ่งจะถึงเวลาที่ความรู้นั้นนำมาซึ่งประโยชน์

๑๐๐ [๐๔.๑๕] (๒๗/๘๑๗)

คติสอนใจ

  1. การเรียนรู้การทำงานหรือผลิตสินค้า ตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิตตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต ควรเรียนงานทั้งหมด ให้สามารถรู้งานหรือกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ 
  2. ในยุคปัจจุบันการเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ เข้าได้ง่ายขึ้น เช่น AI จะช่วยทำให้มนุษย์ทำงานฉลาดขึ้น แต่มนุษย์จะต้องเข้าใจในการทำงานของ AI เพื่อให้การสั่งการได้ถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น
  3. การศึกษาเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน การศึกษาไม่ได้จบแค่การเรียนที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย

คติสอนใจ

  1. นักปราชญ์ไม่ศึกษาเพราะหวังความร่ำรวย
  2. ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ หากแต่นักปราชญ์จะหยุดการศึกษาสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด หรือเป็นผู้นำองค์กรใด ประเทศใด เพราะจะส่งผลทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทั้งในระดับตัวคน องค์กร หรือประเทศ
  3. ผู้ที่มีความเกียจคร้านในการศึกษา มักจะประสบปัญหาด้านต่างๆ ในชีวิต

อมฤตพจนา๔. การศึกษา (๑๐๒)กิตฺติญฺจ ปปฺโปติ อธิจฺจ เวเทสนฺตึ ปุเณติ จรเณน ทนฺโตเล่าเรียนสำเร็จวิทยา ก็ย่อมได้เกียรติแต่ฝึกอบรมด้วยจริยาต่างหาก จึงจะสบสันติ๑๐๒ [๐๔.๑๗] (๒๗/๘๔๒)∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ความสำเร็จในการเรียนนำไปสู่เส้นทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ว่าจะนำมาซึ่งสันติสุขของสังคมหรือประเทศ
  2. โลกจะประสบกับสันติสุข ก็ต่อเมื่อผู้นำของประเทศมีจิตสำนึกที่ต้องการเห็นความสงบสุข
  3. ผู้นำจะต้องรักษาศีล ๕ โดยเฉพาะศีลข้อ ๒ คือละเว้นจากการอยากได้ของผู้อื่น
  4. การเล่าเรียนมากอาจจะทำให้สำคัญผิดโดยคิดว่าอยู่เหนือผู้อื่น ก็เกิดความโลภ (โลภะ) อยากได้ของผู้อื่น เป็นเหตุทำให้เกิดการรุกรานทำสงคราม กลับกลายเป็นว่าความไม่รู้จักพอเพียงทำให้โลกสุ่มเสี่ยงกับการเกิดสงคราม

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๑๐๓)

หีนชจฺโจปิ เจ โหติ อุฏฺาตา ธิติมา นโร

อาจารสีลสมฺปนฺโน นิเส อคฺคีว ภาสติ

คนเรา ถึงมีชาติกำเนิดต่ำ แต่หากขยันหมั่นเพียร

มีปัญญา ประกอบด้วยอาจาระและศีล ก็รุ่งเรืองได้

เหมือนอยู่ในคืนมืด ก็สว่างไสว

๑๐๓ [๐๔.๑๘] (๒๗/๒๑๔๑)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. คนเราถึงแม้จะเกิดมายากจน แต่หากมีความขยันหมั่นเพียรในการเรียน (การศึกษา) ก็จะทำให้มีปัญญาเพิ่มขึ้น
  2. มีปัญญาและมีความเพียร และใช้หลักอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็สามารถทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียน (การศึกษา) และการทำงาน
  3. ตรงกันข้าม คนที่เกิดจากครอบครัวร่ำรวยแต่ไม่ใส่ใจในการเรียนและการทำงาน ขาดความพยายามในการเรียนและการทำงาน ชีวิตอาจจะพบกับเรื่องน่าเศร้าคือ การศึกษาต่ำ การทำงานล้มเหลว ฐานะการเงินหมดตัวกลายเป็นคนจน สร้างใหม่ไม่เป็น

อมฤตพจนา

๔. การศึกษา (๑๐๔)

สุสฺสูสา สุตวฑฺฒนี สุตํ ปญฺาย วฑฺฒนํ

ปญฺาย อตฺถํ ชานาติ าโต อตฺโถ สุขาวโห

ความใฝ่เรียนสดับ เป็นเครื่องพัฒนาความรู้

ความรู้จากการเรียนสดับนั้น เป็นเครื่องพัฒนาปัญญา

ด้วยปัญญา ก็รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์

ประโยชน์ที่รู้จักแล้วก็นำสุขมาให้๑๐๔ [๐๔.๑๙] (๒๖/๒๖๘)

คติสอนใจ

  1. คนที่มีความใฝ่เรียน และเรียนรู้ให้จริง ทำให้มีปัญญาแก่กล้า
  2. เมื่อมีปัญญาก็สามารถหาช่องทางในการยกระดับชีวิตตัวเอง โดยการจบการศึกษาชั้นสูง เป็นผลทำให้ได้งานที่ดี รายได้ดี
  3. รู้จักบริหารการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
  4. ความสำเร็จด้านการลงทุนทำให้ฐานะเปลี่ยนแปลง
  5. เงินลงทุนประสบความสำเร็จ ทำให้ทุกคนที่แวดล้อมและสังคมมีความสุข

อมฤตพจนา๔. การศึกษา (๑๐๕)

วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโ เทวมานุเสคนที่สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติเป็นผู้ประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา๑๐๕ [๐๔.๒๐] (๑๑/๗๒)

คติสอนใจ

  1. คนที่มีความสมบูรณ์ด้วยความรู้ (เก่งทางด้านการเรียน) และมีความประพฤติดี เป็นที่รักของผู้ที่พบเห็น เรียกว่า เป็นคนเก่งและดี ประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียนและการทำงาน มีพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)
  2. คนเก่งและดีย่อมเป็นที่เคารพของผู้ที่พบเห็น
  3. สรุป การศึกษาเป็นประตูสำคัญของการยกระดับชีวิต เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการยกระดับแทบจะทุกเรื่อง

อมฤตพจนา

๕. ปัญญา (๑๒๖)

ปญฺาย จ อลาเภน วิตฺตวาปิ น ชีวติ 

แต่เมื่อขาดปัญญา ถึงจะมีทรัพย์ ก็เป็นอยู่ไม่ได้

๑๒๖ [๐๕.๒๑] (๒๖/๓๗๒)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. แต่เมื่อขาดปัญญาถึงจะมีทรัพย์ก็อยู่ไม่ได้ เพราะมองไม่ออกว่าจะหามาได้อย่างไร
  2. คนขาดปัญญาไม่รู้วิธีการรักษาทรัพย์และไม่รู้วิธีการหาทรัพย์
  3. การมีทรัพย์สินมากมายแต่ถ้าไม่รู้จักการบริหารทรัพย์ดังกล่าวเพราะขาดปัญญา ผลที่ตามมาทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หากขาดปัญญาก็จะเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ถูกวิธี อาจจะทำให้สูญเสียทรัพย์ที่มีอยู่ไปทั้งหมด

อมฤตพจนา

๕. ปัญญา (๑๒๗)

นตฺถิ ปญฺา อฌายิโน

ปัญญาไม่มี แก่ผู้ไม่พินิจ

๑๒๗ [๐๕.๒๒] (๒๕/๓๕)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

พินิจ =  พินิจพิเคราะห์ พิเคราะห์ พินิจพิจารณา

=  เพ่งดูด้วยความตั้งใจ และเพ่งตรวจดูด้วยความถี่ถ้วน

คติสอนใจ

  1. ผู้ที่ไม่มีปัญญาทำอะไรก็จะขาดการพินิจพิเคราะห์ ไม่พิจารณาถึงผลกระทบที่ตามมาในอนาคต
  2. คนที่ไม่มีปัญญา มักจะมองอะไรแบบง่ายๆ แยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความเท็จ
  3. การที่จะทำอะไรให้ผลงานออกมาดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพินิจพิเคราะห์ เมื่อเปรียบเทียบกับการพินิจด้วยความตั้งใจเป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาจะต้องมี ในทางตรงกันข้ามผู้ไม่มีปัญญาจะไม่พินิจพิเคราะห์ด้วยความระมัดระวังอย่างถี่ถ้วน

อมฤตพจนา๕. ปัญญา (๑๒๗)นตฺถิ ปญฺา อฌายิโนปัญญาไม่มี แก่ผู้ไม่พินิจ๑๒๗ [๐๕.๒๒] (๒๕/๓๕)∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻ พินิจ =  พินิจพิเคราะห์ พิเคราะห์ พินิจพิจารณา =  เพ่งดูด้วยความตั้งใจ และเพ่งตรวจดูด้วยความถี่ถ้วนคติสอนใจ

  1. ผู้ที่ไม่มีปัญญาทำอะไรก็จะขาดการพินิจพิเคราะห์ ไม่พิจารณาถึงผลกระทบที่ตามมาในอนาคต
  2. คนที่ไม่มีปัญญา มักจะมองอะไรแบบง่ายๆ แยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความเท็จ
  3. การที่จะทำอะไรให้ผลงานออกมาดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพินิจพิเคราะห์ เมื่อเปรียบเทียบกับการพินิจด้วยความตั้งใจเป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาจะต้องมี ในทางตรงกันข้ามผู้ไม่มีปัญญาจะไม่พินิจพิเคราะห์ด้วยความระมัดระวังอย่างถี่ถ้วน

อมฤตพจนา

๕. ปัญญา (๑๒๘)

นตฺถิ ฌานํ อปญฺสฺส

ความพินิจ ไม่มีแก่คนไร้ปัญญา

๑๒๘ [๐๕.๒๓] (๒๕/๓๕)

คติสอนใจ

  1. ความระมัดระวังก่อนกระทำการ ไม่มีแก่คนที่ไม่มีปัญญา
  2. คนที่ไม่มีปัญญาขาดการพินิจพิเคราะห์ก่อนทำงาน
  3. ทำงานเสร็จแล้วก็ยังประเมินไม่ได้ว่าตนเองทำถูกต้องหรือไม่
  4. คนไร้ปัญญามองข้ามความสำคัญในการวิเคราะห์สถานการณ์ และไม่ได้ติดตามโดยใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย
  5. เพราะความที่ไร้ปัญญา เป็นเหตุให้ไม่สามารถที่จะกู้สถานการณ์ให้เหมือนดั่งเดิม และเดินหน้าต่อไปในการทำธุรกิจหรือการงาน

อมฤตพจนา

๕. ปัญญา (๑๒๙)โยนิโส วิจิเน ธมฺมํพึงวิจัยเรื่องราวตลอดสายให้ถึงต้นตอ๑๒๙ [๐๕.๒๔] (๒๓/๓)

คติสอนใจ

  1. คนที่มีปัญญา ก่อนจะลงมือทำงานจะทำการสำรวจที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมด
  2. คนมีปัญญาจะจับประเด็นสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดออกมาร้อยเรียงเพื่อให้เห็นภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมด
  3. การทำอะไรก็ตามควรจะทำวิจัยที่สำคัญสุดวิเคราะห์ให้ถึงต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด

อมฤตพจนา

๕. ปัญญา (๑๓๐)ปญฺายตฺถํ วิปสฺสติ จะมองเห็นอรรถชัดแจ้งด้วยปัญญา๑๓๐ [๐๕.๒๕] (๒๓/๓)

คติสอนใจ

  1. คนมีปัญญาจะเห็นเนื้อความ (อรรถ) ได้อย่างชัดแจ้งว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
  2. การที่มีปัญญามองเห็นเนื้อความอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้การบริหารงานทำได้ถูกต้อง และการแก้ไขปัญหาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  3. การที่มองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนก็เพราะมีปัญญาๆ จะช่วยทำให้มองเห็นโอกาสในการกู้วิกฤตขององค์กรให้กลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม

อมฤตพจนา๕. ปัญญา (๑๓๑)ปญฺ นปฺปมชฺเชยฺย


ไม่พึงละเลยการใช้ปัญญา๑๓๑ [๐๕.๒๖] (๑๔/๖๘๓)

คติสอนใจ

  1. ควรใช้ปัญญาในการทำงานทุกเรื่อง ไม่ควรใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์
  2. ข้อเตือนใจในการทำงานก็คือควรดำรงตนให้อยู่ในศีล พัฒนาสมาธิและใช้ปัญญาในการประกอบกิจทุกเรื่อง

อมฤตพจนา๕. ปัญญา (๑๓๒)
ปญฺาย ปริสุชฺฌติ คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา๑๓๒ [๐๕.๒๗] (๒๕/๓๑๑)

คติสอนใจ

  1. ปัญญาทำให้คนบริสุทธิ์
  2. คนที่มีปัญญาจะทำอะไรก็จะทำด้วยความระมัดระวัง
  3. คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา เพราะก่อนจะทำอะไรได้ใช้ปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองก่อนลงมือทำ
  4. ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป)
  • ปัญญาที่รู้จริงนั้นจะต้องรู้ให้จริงถึงความเกิดขึ้นและความดับไป
  • ถ้าเรามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมองซ้ายและขวาเป็นธรรมะ มองเห็นเป็นไตรลักษณ์อยู่ประจำ มีไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่รอบด้านไปหมด จิตใจก็ย่อมนิ่งสงบ
  • ถ้าเรารู้จักไตรลักษณ์แล้ว เราจะละความยึดมั่นถือมั่น เราจะสบายเป็นคนฉลาดมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์หมด ชีวิตนี้ราบรื่นเลยทีเดียว
  1. วิราคะ (หลวงปู่เปลี่ยน  ปัญญาปทีโป)

ค่อยๆ ศึกษาไปก็จะเข้าใจในทุกข์เรื่อยๆ ก็รวบรวมลงที่ปัญญา ปลงวาง เปรียบเหมือนเราคือตระกร้าใส่ผลไม้ต่างๆ แอปเปิ้ล สาลี่ องุ่น หิ้วหนักอยู่มันหนักก็เอาออกเก็บออกทิ้งไปก็เบาลงเรื่อยๆ เหมือนละกิเลส บัดนี้ทิ้งหมดแล้วเหลือแต่ตระกร้าเปล่า ตระกร้ายังติดมืออยู่ก็ทิ้งตระกร้าด้วยเลย เดินไปแต่ตัวเปล่าก็เลยสบาย เบาสบาย จิตใจก็เหมือนกัน ละกิเลสได้หมดจะเบาแค่ไหน พระอรหันต์สบายทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เบาสบายจิตว่างไม่มีทุกข์

อมฤตพจนา

๖. เลี้ยงชีพ-สร้างตัว (๑๓๔)ปฏิรูปการี ธุรวา   อุฏฺาตา วินฺทเต ธนํ

ขยัน เอาธุระ ทำเหมาะจังหวะ ย่อมหาทรัพย์ได้

๑๓๔ [๐๖.๐๑] (๑๕/๘๔๕)

∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻∻

คติสอนใจ

  1. ในการเลี้ยงชีพและสร้างตัว จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ : ขยัน เอาธุระ ทำเหมาะจังหวะ
  2. ในการเลี้ยงชีพ จะต้องไม่เกี่ยงงาน ต้องทำงานได้ทุกอย่างที่สุจริต ให้มีงานทำก่อน คือมีงานเลี้ยงชีพได้แล้วจึงค่อยหางานใหม่ที่ตรงกับความชำนาญ เพื่อที่จะมีรายได้สูงขึ้น
  3. จะทำงานอะไรก็ตามจะต้องรู้ว่าเมื่อใดควรทำอะไรและอย่างไร
  4. เมื่อหาเงินได้แล้วจะต้องประหยัดจึงจะสร้างตัวได้

อมฤตพจนา

๖. เลี้ยงชีพ-สร้างตัว (๑๓๕)

สมุฏฺาเปติ อตฺตานํ อณุ อคฺคึว สนฺธมํ 

ตั้งตัวให้ได้ เหมือนก่อไฟจากกองน้อย

๑๓๕ [๐๖.๐๒] (๒๗/๔)

คติสอนใจ

  1. การเลี้ยงชีพเป็นสิ่งพื้นฐานที่จะต้องเริ่มต้นให้ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องไม่เกี่ยงงาน
  2. เมื่อมีรายได้แล้วต้องรู้จักประหยัด จึงจะสร้างตัวได้
  3. หาได้เท่าไร ไม่สำคัญเท่า เหลือเท่าไร
  4. ต้องรู้จักบริหารเงินที่เก็บสะสมไว้
  5. ต้องเรียนรู้การลงทุนที่ถูกวิธี เพราะผลตอบแทนที่ได้รับระหว่างการรู้จักบริหารการลงทุนและการไม่ใส่ใจในการบริหารการลงทุน อาจจะทำให้ฐานะทางการเงินแตกต่างกันมาก

อมฤตพจนา

๖. เลี้ยงชีพ-สร้างตัว (๑๓๖)

โภเค สํหรมานสฺส ภมรสฺส อิรียโต

เก็บรวบรวมทรัพย์สิน เหมือนผึ้งเที่ยวรวมน้ำหวานสร้างรัง

๑๓๖ [๐๖.๐๓] (๑๑/๑๙๗)

คติสอนใจ

  1. เมื่อหาเงินได้แล้วก็ต้องรู้จักการมีวินัยในการใช้เงินและการเก็บเงินให้ถูกวิธี
  2. การหาเงินได้เท่าไหร่สำคัญน้อยกว่าเงินเก็บเหลือเท่าไหร่ เพราะเงินที่เก็บได้มากเท่าไหร่ก็จะทำให้มีเงินนำมาบริหารได้มากยิ่งขึ้น
  3. รู้จักเก็บเงินเพื่ออนาคต มีความสำคัญมาก
  4. ในวัยทำงานเพื่อหาเงิน เราจะเก็บเงินไว้ในในอนาคต
  5. ในวัยเกษียณเราให้เงินทำงานเพื่อเลี้ยงเรา
  6. เงินจะทำงาน (ได้เงินปันผล / ดอกเบี้ย) เลี้ยงเราได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารการลงทุน
  7. คนที่สร้างตัวได้เร็วและมีความสุขช่วงสุดท้ายของชีวิต จะเป็นผู้บริหารการลงทุนได้ดี

อมฤตพจนา

๖. เลี้ยงชีพ-สร้างตัว (๑๓๗)

โภคา สนฺนิจยํ ยนฺติ วมฺมิโกวูปจียติ 

ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้ เหมือนดังก่อจอมปลวก๑๓๗ [๐๖.๐๔] (๑๑/๑๙๗)

คติสอนใจ

  1. การบริหารการลงทุนที่ถูกวิธีทำให้เงินพอกพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
  2. ความมหัศจรรย์ของตัวเลขทบต้นมีความสำคัญในการทำความเข้าใจ เพราะจะทำให้เลือกการลงทุนได้ถูกต้อง
  3. ท่านเก็บเงินได้ ๑๐ ล้านบาท ได้นำไปลงทุน ๒๐ ปี ได้รับผลตอบแทนปีละเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับลักษณะการลงทุน ดังนี้

Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
post