ท่านพระอุทยเถระ เกิดในสกุลพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรีผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นพราหมณ์พาวรี ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์
อุทยมาณพ พร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย อุทยมาณพ เป็นหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนมาณพ 16 คน ที่พราหมณ์พาวรีได้ผูกปัญหา ให้ไปกราบทูลถามพระบรมศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ
อุทยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่สิบสามว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรม เป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชาคือความเขลาความไม่รู้แจ้งเสีย พระบรมศาสดา ทรงพยากรณ์(เฉลย)ว่า เราเรียกธรรม เป็นเครื่องละความพอใจในกาม และ โทมนัสเสีย ทั้งสองอย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วง เป็นเครื่องห้ามความรำคาญ มีอุเบกขา กับ สติ เป็นธรรมบริสุทธิ์ มีความตรึกในธรรมเป็นเบื้องหน้า ว่า ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากกิเลส ที่ควรรู้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชาความเขลาไม่รู้แจ้งเสีย อุทยมาณพถามต่อว่า โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวว่านิพพานๆดังนี้เพราะละอะไรได้ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า โลกมีความเพลิดเพลินผู้พันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้นท่านกล่าวกันว่านิพพานๆดังนี้เพราะละตัณหาเสียได้ อุทยมาณพถามอีกว่า เมื่อบุคคลมีสติ ระลึกอย่างไรอยู่ วิญญาณจึงจะดับ พระบรมศาสดาตอบว่า เมื่อบุคคล ไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในภายนอก มีสติระลึกอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงจะดับ ครั้นพระบรมศาสดา ทรงแก้ปัญหา ที่อุทยมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดอุทยมาณพ ได้บรรลุพระอรหัตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์ อุทยมาณพ พร้อมด้วยมาณพสิบห้าคนทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุ ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250