ภาพที่เห็นอยู่นี้เป็นตอนภายหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว คือตอนพระมหากัสสปกำลังเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนก่อนพระพุทธเจ้าจะนิพพานนั้น พระสงฆ์สาวกที่จาริกออกไปประกาศพระศาสนา ตามแคว้นและเมืองต่างๆ ในสมัยนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าจะนิพพานที่เมืองกุสินารา ต่างก็เดินทางมุ่งหน้ามาเมืองนี้เป็นจุดเดียวกัน ที่อยู่ใกล้ก็มาทันเฝ้าพระพุทธเจ้า ส่วนที่อยู่ไกลไปก็มาไม่ทัน
พระมหากัสสปเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยยกย่องให้เกียรติเทียบเท่าพระองค์ ท่านรีบเดินทางมาพร้อมด้วยพระสงฆ์หลายร้อยรูป มาถึงเมืองปาวา แดดกำลังร้อนจัด จึงพาพระสงฆ์ แวะพักชั่วคราวระหว่างทางภายใด้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ขณะนั้น ท่านเห็นอาชีวกคือนักบวชนอกศาสนาพุทธ คนหนึ่ง เดินทางสวนมาจากเมืองกุสินารา มือถือดอกมณฑารพ พระมหากัสสปจึงถามข่าวพระพุทธเจ้า อาชีวกตอบว่าพระสมณโคดมนั้นนิพพานมาได้เจ็ดวันแล้ว แล้วชูดอกมณฑารพให้ดูว่าตนเก็บได้มาจาก สถานที่ที่พระพุทธเจ้านิพพาน ดอกมณฑารพตามตำนานว่าเป็นดอกไม้สวรรค์ ออกดอกและบานใน เวลาคนสำคัญของโลกมีอันเป็นไป
ทันใดนั้น ก็บังเกิดอาการสองอย่างขึ้นในหมู่พระสงฆ์ที่เดินทางมาพร้อมกับพระมหากัสสป พระสงฆ์ ฝ่ายหนึ่งที่สำเร็จอรหันต์แล้วต่างดุษณีภาพด้วยธรรมสังเวชว่า พระพุทธเจ้านิพพานเสีย ฝ่ายพระสงฆ์ ปุถุชนต่างอดกลั้นความเศร้าโศกเสียใจไว้ไม่ได้ บางองค์ร้องไห้ โฮ... บางองค์ยกมือทั้งสองขึ้นร้องคร่ำครวญ บางองค์ล้มกลิ้งลงกับพื้นดิน มหาปรินิพพานสูตร บันทึกไว้ว่า อาการล้มกลิ้งของภิกษุนั้นเหมือนคนถูกตัดขาทั้งสองขาดในทันที แต่มีอยูรูปหนึ่งนามว่า สุภัททะ (คนละองค์กับที่บวชพระสาวกอง๕สุดท้ายของพระพุทธเจ้า) เป็นพระที่บวชเมื่อแก่ เข้าไปพูดปลอบโยนพระสงฆ์ทั้งปวงที่กำลังร้องไห้ว่า "คุณ! คุณ! จะร้องไห้เสียใจทำไม พระพุทธเจ้านิพพานเสียได้นั่นดีนักหนา ถ้าพระองค์ยังอยู่ พวกเราทำอะไรตามใจไม่ได้ ล้วนแต่ว่าอาบัติทั้งนั้น ต่อนี้ไปพวกเราจะสบาย พระองค์นิพพานเสียได้นั่นดีแล้ว"
พระมหากัสสปได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็อดสังเวชมิได้ว่า พระพุทธเจ้าเพิ่งนิพพานได้เพียง ๗ วัน เสี้ยนหนามพระศาสนาก็บังเกิดขึ้นเสียแล้ว แล้วท่านก็พาพระสงฆ์รีบออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา เพื่อให้ทันถวายบังคมพระศพพระพุทธเจ้า
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250