ฉายา: ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
ความสูง: ๕๘ ศอก
รัศมี: แผ่ซ่านไปไกล ๑๒ โยชน์
บำเพ็ญบารมี: บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
วรรณะ: กษัตริย์
พุทธบิดา: อานนท์
พุทธมารดา: สุชาดาเทวี
พระนคร: หงสวดี
ใช้ชีวิตฆราวาส: ๑๐,๐๐๐ ปี
มเหสี: วสุลทัตตา
บุตร: อุตระ
ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช: ออกบวชทั้งปราสาท (ลอยไปทั้งปราสาท)
ระยะเวลาการทำความเพียร: ๗ วัน
ต้นไม้ตรัสรู้: ที่โคนต้นไม้สลฬ (ต้นสน)
อายุขัย: ๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงปรินิพพาน ณ นันทาราม
๑๔. พระปทุมุตรพุทธเจ้า
ปทุมุตรพุทธวงศ์ที่ ๑๐
ว่าด้วยพระประวัติพระปทุมุตรพุทธเจ้า
สมัยต่อมาจากพระนารทพุทธเจ้า พระสัมพุทธชินเจ้าผู้อุดมกว่าสรรพสัตว์ พระนามว่าปทุมุตระ มีพระคุณนับไม่ถ้วน เปรียบด้วยสาคร และในกัปที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติเป็นมัณฑกัป ประชุมชนผู้มีกุศลมากจึงได้เกิดในกัปนั้น ในพระธรรมเทศนาครั้งที่ ๑ ของพระผู้มีพระภาคปทุมุตระ ธรรมาภิสมัย ได้มีแก่เทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ ต่อจากนั้น เมื่อพระองค์ทรงยังฝนคือธรรม ให้ตก และให้สัตว์ทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์สามหมื่นเจ็ดพัน ในกาลเมื่อพระมหาวีรเจ้า เสด็จเข้าไปยังสำนักพระเจ้าอานันทพุทธบิดา ครั้นแล้วทรงตีกลองอมฤต เมื่อพระองค์ทรงตีกลองอมฤตเภรี ยังฝนคือธรรม ให้ตก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ห้าโกฏิ พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทให้รู้แจ้งทรงยังสัตว์ทั้งปวงให้ข้าม ทรงฉลาดในเทศนา ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้มากมาย พระปทุมุตรบรมศาสดาทรงประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระสาวกแสนโกฏิมาประชุมกัน ครั้งที่ ๒ ในกาลเมื่อพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน ประทับอยู่ ณ เวภารบรรพต พระสาวกเก้าหมื่นโกฏิมาประชุมกัน ครั้งที่ ๓ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกจากนิคมและรัฐ พระสาวกแปดหมื่นโกฏิมาประชุมกัน สมัยนั้น เราเป็นชฎิลชื่อว่ารัฏฐิกะ ได้ถวายผ้าพร้อมภัตตาหารแก่สงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็น
ประมุข แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นประทับนั่ง ณ ท่ามกลางสงฆ์ทรงพยากรณ์เราว่า ในแสนกัปแต่กัปนี้ไป ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก .........
ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น
เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้วอธิษฐานวัตรให้ยิ่งขึ้น เราได้ทำความเพียรมั่นชั้นยอด ในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ในกาลนั้น เดียรถีย์ทั้งปวงถูกกำจัด พากันเสียใจโทมนัส ใครๆ ไม่บำรุงเดียรถีย์เหล่านั้น พวกเขาจึงพากันออกไปจากแว่นแคว้น มาประชุมกันในที่นั้นทั้งหมดแล้วเข้าไปในสำนักพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ขอพระองค์ผู้มีจักษุ ผู้ทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงได้ทรงเป็นที่พึ่งที่ระลึกเถิด พระองค์ทรงยังเดียรถีย์ที่มาประชุมกันทั้งปวง ให้ตั้งอยู่ในเบญจศีล พระศาสนาของพระองค์ไม่อากูลว่างจากพวกเดียรถีย์อย่างนี้ งามวิจิตรด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญคงที่ พระนครชื่อว่าหงสวดี พระบรมกษัตริย์พระนามว่าอานนท์ เป็นพระชนกของพระปทุมุตรศาสดา พระนางสุชาดา เป็นพระพุทธชนนี พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เก้าหมื่นปี ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อนารี พาหนะ และยศวดี มีพระสนมนารีกำนัลในสี่หมื่นสามพันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระอัครมเหสีพระนามว่าวสุลทัตตา พระราชโอรสพระนามว่าอุตระ พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชพร้อมด้วยปราสาท ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน
พระปทุมุตรบรมศาสดามหาวีรเจ้า อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิถิลาราชอุทยานอันประเสริฐ ทรงมีพระเทวิลเถระ และพระสุชาตเถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าสุมนะ เป็นพุทธอุปัฏฐาก พระอมิตาเถรีและพระอสมาเถรี เป็นพระอัครสาวิกาไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์เรียกกันว่าไม้สน อมิตอุบาสกและติสสอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก อุหัตถาอุบาสิกาและสุจิตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระมหามุนีทรงมีพระองค์สูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีงามเช่นกับทองคำล้ำค่า มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ พระรัศมีของพระองค์แผ่ไป ๑๒ โยชน์ โดยรอบกำแพง บานประตู ฝาเรือน ต้นไม้ และภูเขาสูงเทียมฟ้า กำบังไม่ได้ ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี พระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น ทรงตัดความสงสัยทั้งปวง ช่วยหมู่ชนให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้มากมาย ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟแล้วเสด็จนิพพาน พร้อมด้วยพระสาวก พระปทุมุตรพุทธชินเจ้า เสด็จนิพพาน ณ นันทาราม พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์ สูง ๑๒ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ในนันทารามนั้น ฉะนี้แล.
จบ ปทุมุตรพุทธวงศ์ที่ ๑๐
ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ (ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก)
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250