เมื่อตัดสินพระทัยจะทรงประกาศธรรมแล้ว จากนั้นก็เสด็จดำเนินด้วย พระบาทจากตำบลพุทธคยา มุ่งตรงไปยังป่าอิสปตนะมฤคทายวัน ซึ่ง อยู่ห่างออกไปประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตร ระหว่างทางทรงพบกับ อุปกาชีวกนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา อุปกาชีวกพบพระพุทธ- องค์ทรงสง่างาม มีฉัพพรรณรังสีฉายออกจากพระวรกาย สงบสำรวม เสด็จดำเนินมาตามทาง ก็เกิดความเลื่อมใสในพระบุคลิกภาพ
อุปกาชีวกจึงเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ความว่า ใครเป็นศาสดาของ พระองค์ พระองค์ทรงชอบใจคำสอนของใคร พระพุทธองค์ตรัสตอบ เป็นคาถา (โศลก) ว่า “เราชนะสรรพสิ่ง ตรัสรู้สรรพสิ่ง ไม่ติดอยู่ใน สรรพสิ่ง หลุดพ้นเพราะทำลายตัณหา เราตรัสรู้ด้วยตนเอง จะพึงอ้าง ใครว่าเป็นครูเราเล่า ..เราไม่มีใครสอน คนเช่นเราไม่มีในโลกพร้อมทั้ง เทวโลก เราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่าไม่มี เราผู้ เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้ดับเย็นแล้ว บรรลุนิพพานแล้ว เรา กำลังเดินทางไปแคว้นกาสี เพื่อหมุนวงล้อคือธรรม และเพื่อลั่นอมต- เภรี ในโลกที่มืดมนอนธการนี้” อุปกะได้ยินดังนั้น.. จึงถามไปว่า ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็เป็นอนันตชินะ นะสิ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสว่า ทรงเป็นเพราะทรงละความชั่วได้หมด แล้ว อุปกาชีวกจึงกล่าวว่า “อาวุโส ที่ท่านพูดนั้นพึงเป็นไปได้” (หุเวยฺยาวุโสติ) แล้วก็สั่นศีรษะหลีกทางไป
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250