แหละทีนี้ท่านสรุปว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ เหล่านี้เป็นสมุทัยการเกิดตายทั้งนั้น นั่น! พอพิจารณาถอนอวิชชาออกไปแล้ว สังขารก็ดับ อวิชฺชายตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เรื่อยไปจนกระทั้ง นิโรโธ โหติ เหล่านี้เป็นวิมุตติความดับทุกข์ทั้งนั้น นั่น! อวิชชาดับเสียอย่างเดียวเท่านั้น ทุกข์ทั้งหลายดับ เพราะฉะนั้นสังขารที่คิดที่ปรุง วิญญาณรับทราบในขันธ์ ๕ นี้จึงกลายเป็นเครื่องมือของจิตที่บริสุทธิ์ไป ไม่เกิดกิเลส ไม่มีกิเลส เพราะขันธ์เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนขันธ์นี่เป็นกิเลส ตัวขันธ์จริง ๆ ไม่เป็นกิเลส แต่อวิชชาคือตัวกิเลสนั้นแหละ มันบงการออกมาให้เป็นกิเลส เช่น เวทนา สัญญา สังขาร มันหลงทั้งนั้นแหละ สังขารความคิดความปรุง วิญญาณรับทราบ รับทราบอะไรเป็นกิเลสไปเรื่อย ๆ เพราะตัวใหญ่อวิชชาพาให้เป็นกิเลส มันยึดด้วย ถือด้วยในขันธ์ทั้งนั้น มันถือว่าเราเป็นของเราเต็มตัว เนี่ย! ทีนี้พอจิตได้หลุดพ้นจากนี้แล้ว อวิชฺชายเตฺวว นี้ดับหมดแล้ว เมื่อดับแล้วสังขารก็ไม่มีกิเลส ไม่เป็นสมุทัย วิญญาณอะไรไม่เป็นสมุทัย เป็นแต่เครื่องมือของธรรม แต่ท่านไม่ยึดไม่ถือ ธรรมเป็นเจ้าของของขันธ์ นี่ท่านไม่ยึด ใช้ไปถึงวันนิพพานนี้เท่านั้น แต่กิเลสนี้ยึดกระทั่งวันตายไม่มีวันถอยล่ะ นี่ตั้งกันอย่างนี้ ขันธ์เป็นขันธ์ของพระอรหันต์ ส่วนขันธ์ของกิเลสนั้นมันเป็นเราเป็นเขาไปหมด นี่ให้พากันจำ
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250