แนวคิดเรื่องตรีกายของนิกายมหายาน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เหล่าสาวกเริ่มคิดถึงความเป็นอัจฉริยะของพระองค์มากยิ่งขึ้น ตามทัศนะของสาวกยานิกชน พระพุทธเจ้าเป็นอภิบุคคล ผู้ได้บรรลุความสมบูรณ์แห่งปัญญาในชีวิตนี้ เพราะอำนาจความเจริญทางจิตใจ และบุญกรรมที่ได้สั่งสมมาแต่อดีตชาติ ความเคารพอันลึกซึ้งที่เหล่าสานุศิษย์ของพระองค์มีอยู่ ทำให้ไม่พอใจด้วยความเป็นมนุษย์ธรรมสามัญของพระบรมครูของตน จึงพยายามสร้างสรรค์ให้พระองค์เป็นสิ่งที่เหนือกว่าวิญาณอมตะ ถึงคัมภีร์บาลีก็ได้กล่าวถึงชีวิตอันสูงล้ำสำหรับพระพุทธเจ้า นอกเหนือไป จากชีวิตโลกีย์อีกด้วย เพราะความคิดว่า พระพุทธเจ้ามีสภาพสูงล้ำเหนือชีวิตโลกีย์ จึงทำให้ ปราชญ์ฝ่ายมหายานอธิบายถึงพระพุทธเจ้าใน 3 วิธีตามหลักที่เรียกว่าหลักตรีกาย
หลักการสำคัญประการหนึ่งของมหายานอยู่ที่หลักเรื่อง ตรีกาย อันหมายถึงพระกายทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า ในกายตรัยสูตรของมหายาน พระอานนท์ทูลถามถึงเรื่องพระกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า ตถาคตมีกายเป็น 3 สภาวะคือตรีกาย อันได้แก่
- นิรมาณกาย หมายถึง กายที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของสังขารในฐานะที่เป็นมนุษย์ พระศากยมุนีผู้ท่องเที่ยวอยู่บนโลก สั่งสอนธรรมแก่สาวกของพระองค์ และดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา
- สัมโภคกาย หมายถึง กายอันมีส่วนแห่งความรื่นเริงในฐานะเป็นพุทธอุดมคติผู้สั่งสอนแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นกายของพระพุทธองค์อันสำแดงปรากฏให้เห็นเฉพาะหมู่ พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ เป็นทิพย-ภาวะมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป เพราะฉะนั้น แม้จนกระทั่งบัดนี้ พระโพธิสัตว์ก็ยังอาจจะเห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ในรูปสัมโภคกาย พระพุทธองค์ยังทรงอาจสดับคำสวดมนต์ของเรา แม้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ดี ทั้งนี้ก็ด้วยการดับขันธปรินิพพานนั้นเป็นเพียงการสำแดงให้เห็นปรากฏในรูปนิรมานกายเท่านั้น
- ธรรมกาย หมายถึง หมายถึง กายอันไร้รูปร่างอยู่ในสภาวธรรม กายอันเกิดจากธรรม ในฐานะเป็นสภาพสูงสุด หลักแห่งความรู้ ความกรุณา และความสมบูรณ์ ธรรมกาย ตามนัยแห่งเถรวาทหมายถึงพระคุณทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
จุดมุ่งหมายของนิกายมหายาน
หลักสำคัญของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือหลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิซึ่งเป็นหลักที่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานแต่ละนิกายยอมรับนับถือ มหายานทุกนิกายย่อมมุ่งหมายโพธิสัตวภูมิ ซึ่งเป็นเหตุที่ให้บรรลุพุทธภูมิ บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะบรรลุถึงพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์มาก่อน เพราะฉะนั้น จึงถือว่าโพธิสัตวภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล เมื่อบรรลุพุทธภูมิเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวาง และขณะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ในสังสารวัฏได้มากมาย อุดมคติอันเป็นจุดหมายสูงสุดของมหายานจึงอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น
หลักแห่งโพธิสัตวยาน
โพธิสัตวยาน (พู่สักเส็ง) คือยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ผู้มีใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหัตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวาง และเป็นผู้รู้แจ้งในศูนยตาธรรม หลักพระโพธิสัตวยานนั้น ถือว่าจะต้องบำเพ็ญ ทศปารมิตาหรือทศบารมีให้สมบูรณืจึงจะบรรลุการตรัสรู้ได้
ทศ ปารมิตา.คือ บารมี 10 ได้แก่
- ทานปารมิตา หรือ ทานบารมี
- ศีลปารมิตา หรือ ศีลบารมี
- กฺษานฺติปารมิตา หรือ ขันติบารมี
- วีรฺยปารมิตา หรือ วิริยบารมี
- ธฺยานปารมิตา หรือ ฌานบารมี
- ปฺรชฺญาปารมิตา หรือ ปัญญาบารมี
- อุปายปารมิตา หรืออุบายบารมี
- ปฺรณิธานปารมิตา หรือประณิธานบารมี
- พลปารมิตา หรือ พลบารมี
- ชฺญานปารมิตา หรือ ญาณบารมี
พระโพธิสัตว์ย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติ 3 ประการ
- มหาปรัชญา(ไต่ตี่) หรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่า จะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งสัจธรรมไม่ตกเป็นทาสของกิเลส การบวชก็เพื่อเอาชนะกิเลสที่มีอยู่ในตนให้ได้ด้วยความเพียรและปัญญาเป็นการสร้างอัตตัตถประโยชน์คือประโยชน์เพื่อตนเองให้ถึงพร้อม
- มหากรุณา(ไต่ปุย) หมายความว่า จะต้องเป็นผู้มีจิตใจกรุณาต่อสรรพสัตว์ปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยเหลือสัตว์ให้พ้นทุกข์ ข้อนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของภิกษุสามเณร ที่จะอนุเคราะห์ผู้อื่นมีบิดามารดาเป็นต้น จัดเป็นปรัตถประโยชน์ คือบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
- มหาอุปาย(ไต่ฮวงเปี๋ยง) หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม ข้อนี้ก็เป็นการบำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
มหาปณิธาน 4 ของนิกายมหายาน
นอกจากดังที่กล่าวมาแล้ว พระโพธิสัตว์ยังต้องมีมหาปณิธานอีก 4 ซึ่งถือเป็นหลักการของผู้ดำเนินตามวิถีมหายาน ดังนี้
- เราจะละกิเลสทั้งปวงให้สิ้น – เราจะกำจัดให้หมดสิ้น เราจะต้องละทิ้งทำลายให้หมด และปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์ทำลายกิเลสเหล่านั้นด้วย ข้อนี้เทียบด้วยข้อสมุทัยคือตัณหาซึ่งเราจะต้องละ จะเจริญไม่ได้ ข้างฝ่ายมหายานถือว่า นอกจากตัวเราจะทำลายกิเลสของเราเองแล้ว จึงต้องช่วยแนะนำให้สรรพสัตว์ทำลายกิเลสของเขาด้วย
- เราจะศึกษาพระธรรมให้เจนจบ – ธรรมทั้งหลายอันไม่มีประมาณ เราจะต้องศึกษาให้เจนจบ เราจักต้องเรียนรู้และทำความศึกษาปฏิบัติ เทียบด้วยมรรคสัจซึ่งต้องเจริญให้มีขึ้น เราจึงจะกำหนดรู้ทุกข์และสมุทัยได้ และจะต้องยังสรรสัตว์ให้ศึกษาในพระธรรมด้วย
- เราจะโปรดสรรพสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ – สรรพสัตว์ทั้งหลายอันประมาณมิได้ เราจักโปรดให้หมดสิ้น เราจะต้องปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ข้อนี้เทียบด้วยอริยสัจ 4 ในข้อทุกขสัจ ซึ่งมีหน้าที่ต้องกำหนดรู้ คือเมื่อเรารู้ว่าเราทุกข์ เราก็ย่อมแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบว่า เขาก็มีทุกข์เช่นเดียวกัน แต่พระโพธิสัตว์จะต้องปรารถนาความพ้นทุกข์แห่งสรรพสัตว์อีกด้วย
- เราจะต้องบรรลุพุทธภูมิอันประเสริฐ – พุทธมรรคอันประเสริฐ เราจะต้องบรรลุให้จงได้ เทียบด้วยทำนิโรธสัจให้แจ้ง และจะต้องยังสรรพสัตว์ให้บรรลุถึงด้วย
เพราะฉะนั้น ตามปณิธานทั้ง 4 นี้ เมื่อเทียบกับหลักอริยสัจแล้วจะเห็นว่า ฝ่ายมหายานต้องการจะปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
ปณิธานฯ ของผู้สมาทานโพธิสัตว์ศีล
ผู้สมาทานโพธิสัตว์ศีลต้องเป็นผู้ศรัทธามั่นคงในองค์ 4 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีล จากนั้นต้องตั้งประณิธาน 10 ประการ พร้อมกับมหาปณิธาน 4 รวม 14 ข้อ คือ
- ระลึกถึงพุทธานุสติเสมอและหมั่นเข้าใกล้กัลยาณมิตร
- หลีกไกลจากมิตรชั่ว
- ไม่ละเมิดศีลแม้ต้องสิ้นชีวิต
- ศึกษาท่องบ่นพระสูตรพระวินัยมหายานเสมอและซักถามข้อสงสัย
- ศรัทธาในอนุตรสัมมาสัมโพธิญานเสมอ
- หากพบเห็นสรรพสัตว์รับทุกข์ทรมานต้องช่วยเหลือเสมอ
- ถวายบูชาพระรัตนตรัยตามกำลังสามารถเสมอ
- กตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา,ครูอุปัชฌาย์อาจารย์
- ละทิ้งความเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน ขยันหมั่นศึกษาพุทธธรรม
- เมื่อเกิดกิเลสจากวิสัย 5 หรือที่ตั้งแห่งอารมณ์ทั้ง 5 คือ รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส สามารถข่มจิตใจลงได้
- สรรพสัตว์ทั้งหลายอันประมาณมิได้ เราจักโปรดให้หมดสิ้น
- กิเลสทั้งหลายที่ไม่สงบระงับ เราจะกำจัดให้หมดสิ้น
- ธรรมทั้งหลายอันไม่มีประมาณ เราจะต้องศึกษาให้เจนจบ
- พุทธมรรคอันประเสริฐ เราจะต้องบรรลุให้จงได้
“พระยูไลพุทธเจ้าหรือพระอมิตาพุทธเจ้า ก็คือพระพุทธเจ้า“
พระยูไลทั้งสามองค์ที่โปรดสัตว์หลังกึ่งกลางยุคพุทธกาล
กึ่งกลางพุทธกาล เบื้องบนจะส่งพระยูไลลงมาชุดละสามองค์ คือ พระยูไลที่ถือดอกบัว, พระยูไลที่ถือดวงแก้วมณี และพระยูไลที่ถือเจดีย์บุ่นเซียง ทั้งสามองค์จะประสานงานกัน เพื่อโปรดสัตว์บนโลกมนุษย์ โดยท่านจะลงมาจุติจากสุขาวดีเป็นส่วนใหญ่ มักมาในรูปของพระมหาโพธิสัตว์ที่บารมีมากแล้ว จากนั้น จึงปฏิบัติธรรมจนบรรลุยูไล และสามารถทำกิจต่างๆ ได้ โดยชุดแรกจะลงมาสามองค์ จากนั้น ชุดต่อๆ ไปจะลงมาเรื่อยๆ สามองค์อย่างนี้ สืบเนื่องต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะสิ้นอายุกาลพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
- พระยูไลถือดอกบัว คือ พระยูไล ผู้โปรดสัตว์ด้วยการสอนธรรม มักมีสถานธรรม และนิยมสอนธรรมจักร คือ หมุนดอกบัวกลางกาย ก็จะสำเร็จเป็นพระยูไล ถือ ดอกบัว ท่านมักสอนสัตว์จำนวนมาก แต่ไม่เน้นสัตว์ที่สอนได้ยาก และมักมีสถานธรรมยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าออกสถานธรรมมาก การบำเพ็ญนั้น นอกจากจะสำเร็จธรรมขั้นยูไลแล้วขั้นต่อไปคือต้องออกโปรดสัตว์ สอนธรรม เช่น ธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ พบปะผู้คนแล้วถ่ายทอดธรรม หรือตั้งสถานธรรมเพื่อสอนธรรม
- พระยูไลถือดวงแก้ว คือ พระยูไล ผู้โปรดสัตว์ด้วยการปกป้องประเทศ กำหนดเขตอาคม คุ้มกันประเทศไว้ ไม่ให้ถูกศัตรูรุกรานหรือทำลายได้ พร้อมกับชักชวนผู้คนให้เร่งปฏิบัติธรรม ทำคุณงามความดีไว้ เพื่อให้กรรมของประเทศเบาบางลง ก่อนที่จะลดกำลังเขตอาคมลงภายหลัง การบำเพ็ญนั้น นอกจากจะสำเร็จธรรมขั้นยูไลแล้วขั้นต่อไปคือต้องปกป้องคุ้มครองทางโลก เช่น ใช้ดวงแก้วปกป้องคุ้มครองประเทศ ซึ่งจะยื้อเวลาไม่ให้กรรมเข้าถึงได้เร็ว แล้วจึงหาวิธีช่วยปลดกรรม หรือเร่งทำบุญ ปฏิบัติธรรมก่อนที่วิบากกรรมจะเข้ามาถึงในที่สุด
- พระยูไลถือเจดีย์บุ่นเซียง คือ พระยูไล ที่มักไม่อยู่กับที่ และนิยมธุดงค์จรไปเรื่อยๆ เพื่อโปรดจิตวิญญาณที่ตกค้างอยู่ตามสถานที่ต่างๆ และมักเป็นจิตวิญญาณร้ายๆ ที่โปรดได้ยาก ด้วยการดึงจิตวิญญาณ เข้ามากักไว้ในเจดีย์บุ่นเซียงก่อน แล้วกักตนฝึกวิชาโปรดสัตว์ร้ายนั้นให้หลุดพ้นในที่สุด การบำเพ็ญนั้น นอกจากจะสำเร็จธรรมขั้นยูไลแล้วขั้นต่อไปคือต้องออกโปรดสัตว์ที่เป็นจิตวิญญาณ โดยนำจิตวิญญาณที่เร่ร่อนเข้ามาอยู่ในกายสังขารของตนเอง แล้วบำเพ็ญธรรมต่อไปเพื่อโปรดจิตวิญญาณที่ดุร้ายให้หลุดพ้นเป็นจิตวิญญาณที่ดี ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อโต ซึ่งโปรดจิตวิญญาณนางนาค จนหลุดพ้นจากความเป็นปีศาจร้ายในที่สุด
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (เจ้าแม่กวนอิม)
พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์ องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด และเป็นเสมือนปุคคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน อาทิ ปฺรัชฺญาปารมิตาสูตฺร, สทฺธรฺมปุณฑรีกสูตฺร และการณฺฑวยูหสูตฺร
คำว่า อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน แต่โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่าอวโลกิเตศวรมาจากคำสันสกฤตสองคำคือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง, ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศอาจแลเห็นทั้งหมด ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์ นอกจากนี้นักปราชญ์พุทธศาสนาบางท่านยังได้เสนอความเห็นว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ จึงถือได้ว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นหามีไม่ อันแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
พุทธศาสนิกชนชาวจีนจะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า กวนซีอิม หรือ กวนอิม ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต คือผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักให้อรรถาธิบายเป็นใจความว่าหมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์) คำว่ากวนซีอิมนี้พระกุมารชีวะชาวเอเชียกลางผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนเป็นผู้แปลขึ้น ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่าซีไปพ้องกับพระนามของ จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง