พระติสสพุทธเจ้า
ติสสพุทธวงศ์ที่ 17
ว่าด้วยพระประวัติพระติสสพุทธเจ้า
ในกัปต่อมาจากพระสิทธัตถพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีศีลไม่มีที่สุด ทรงยศนับมิได้ เป็นนายกชั้นเลิศของโลก พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ ผู้ทรงอนุเคราะห์ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก กำจัดความมืดมน ฉายพระรัศมีให้มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกสว่างไสว แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงมีฤทธิ์ ศีล และสมาธิ ไม่มีสิ่งอื่นเทียมถึง ทรงบรรลุถึงความสำเร็จในธรรมทั้งปวงแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร พระองค์ทรงแสดงธรรมสั่งสอนถึงความบริสุทธิ์ไปในหมื่นโลกธาตุ ในพระธรรมเทศนาครั้งที่ 1 สัตว์ได้ตรัสรู้ร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 หกสิบโกฏิ ครั้งนั้น พระองค์ทรงเปลื้องมนุษย์และเทวดาที่มาประชุมกันให้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูก พระองค์ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพ ผู้ปราศจากมลทิน ผู้มีจิตสงบระงับ ผู้คงที่ 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 พระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน ผู้บานแล้วด้วยวิมุติ มาประชุมกันหนึ่งแสน ครั้งที่ 2 เก้าโกฏิ ครั้งที่ 3 แปดโกฏิ
สมัยนั้นเราเป็นพระมหากษัตริย์พระนามว่าสุชาต ละทิ้งโภคสมบัติเป็นอันมากแล้ว ออกบวชเป็นฤาษี เมื่อเราบวชแล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกจึงเสด็จอุบัติ เพราะได้ฟังเสียงว่าพุทโธ ปีติจึงเกิดแก่เรา เราผู้กำจัดมานะแล้ว เอามือทั้งสองประคองดอกมณฑารพ ดอกปทุม และดอกปาริชาต เข้าไปเฝ้า เราเอาดอกไม้นั้นถือกั้นเป็นร่ม ให้พระติสสชินเจ้า ผู้แวดล้อมด้วยพระรัศมีอันปรากฏ ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก ในกาลนั้น แม้พระองค์ก็ประทับนั่งท่ามกลางประชุมชน ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ 92 แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก .... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น
เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้วยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี 10 ประการยิ่งขึ้น พระนครชื่อว่าเขมกะ พระบรมกษัตริย์พระนามว่าชนสันทะ เป็นพระชนกของพระติสสศาสดา พระนางปทุมา เป็นพระชนนี พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เจ็ดพันปี ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ 3 ปราสาท ชื่อคุณเสลา นาทิยะ และนิสภะทรงมีพระสนมนารีกำนัลในสามหมื่นนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่าสุภัททา พระราชโอรสพระนามว่าอานันทะพระพิชิตมารทรงเห็นนิมิต 4 ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยอัสวราชยาน ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ครึ่งเดือนเต็ม พระติสสมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ที่ยสวดีทายวันอันประเสริฐ ทรงมีพระพรหมเทวเถระและพระอุทยเถระ เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าสมคะ เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระผุสสาเถรีและพระสุทัตตาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์เรียกชื่อว่าไม้ประดู่ สัมพลอุบาสกและศิริอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก กิสาโคตมีอุบาสิกาและอุปเสนาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา แม้พระพุทธชินเจ้าพระองค์นั้น ก็มีพระองค์สูง 60 ศอก ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้เสมอเหมือนทรงปรากฏดังขุนเขาหิมวันต์
แม้พระองค์ผู้มีเดชหาเทียบเคียงมิได้มีพระจักษุ ทรงมีพระชนมายุมาก ดำรงอยู่ในโลกแสนปี พระองค์ทรงเสวยพระยศใหญ่ อุดม ประเสริฐสุด ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระองค์เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวกดังเมฆหายไปเพราะลม น้ำค้างหายไปเพราะพระอาทิตย์ความมืดหายไปเพราะแสงไฟ ฉะนั้น พระติสสพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเสด็จนิพพาน ณ นันทาราม พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์สูง 3 โยชน์ ประดิษฐานอยู่ที่นันทารามนั้น ฉะนี้แล.
จบติสสพุทธวงศ์ที่ 17
ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 (ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์-จริยาปิฎก)
ฉายา : ผู้ประเาริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
ความสูง : 60 ศอก
รัศมี : แผ่ซานออกไปเหลือประมาณ
บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
วรรณะ : กษัตริย์
พุทธบิดา : พระเจ้าชนสันทะ
พุทธมารดา : พระนางปทุมา
พระนคร : เขมกะ
ใช้ชีวิตฆราวาส : 7,000 ปี
มเหสี : สุภัททา
บุตร : อานันทะ
ยานพาหนะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
ระยะเวลาการทำความเพียร : 8 เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นไม้อสนะ (ต้นประดุ่)
อายุขัย : 100,000 ปี จึงปรินิพพาน ณ นันทาราม
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250