พระทีปังกรพุทธเจ้า
ทีปังกรพุทธวงศ์ที่ 1
ว่าด้วยพระประวัติพระทีปังกรพุทธเจ้า
ในสี่อสงไขยแสนกัป มีพระนครหนึ่งชื่อว่าอมรนครเป็นนครสวยงามน่ารื่นรมย์ใจ ไม่ว่างจากเสียง 10 ประการคือ เสียงประกาศให้มานำเอาข้าวน้ำไป เสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์ เสียงรถ เสียงเชิญให้มาเคี้ยวมาดื่ม มาบริโภคข้าวและน้ำ เป็นนครสมบูรณ์ด้วยองค์คุณทั้งปวง ประกอบด้วยการงานทุกอย่างสมบูรณ์ด้วยรัตนะ 7 ประการ คับคั่งไปด้วยหมู่ชนต่างๆ เป็นนครสมบูรณ์เหมือนเทพนคร เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ เราเป็นพราหมณ์นามว่าสุเมธอยู่ในครอมรวดี สั่งสมโภคทรัพย์ไว้หลายโกฏิ มีทรัพย์สมบัติมากมาย เป็นผู้เล่าเรียน ทรงมนต์รู้จบไตรเพท ถึงความสำเร็จในตำราทำนายลักษณะ และคัมภีร์อิติหาสะ นั่งอยู่ในที่ลับคิดอย่างนี้ ในครั้งนั้นว่าการเกิดในภพใหม่และความที่สรีระแตกเป็นทุกข์ [ความหลงตายเป็นทุกข์ ชีวิตถูกย่ำยี] เราจักแสวงหานิพพานอันไม่แก่ไม่ตาย ปลอดภัย เป็นที่ดับชาติธรรม ชราธรรม และพยาธิธรรม เอาละ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าเต็มด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิดทางที่ใครๆ ไม่อาจจะไปได้เพราะไม่มีเหตุ จักมีแน่นอนเราจักแสวงหาทางนั้นเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ เมื่อมีความเจริญ ความเสื่อมก็จำต้องปรารถนา เปรียบเหมือนเมื่อมีทุกข์แม้สุขก็ย่อมมี ฉะนั้น ไฟ 3 กองมีอยู่นิพพานความดับก็จำต้องปรารถนา เปรียบเหมือนเมื่อความร้อน ความเย็นก็ย่อมมี ฉะนั้น ความเกิดมีอยู่ ความไม่เกิดก็จำต้องปรารถนาเปรียบเหมือนเมื่อความชั่วมีอยู่ แม้ความดีก็ย่อมมี ฉะนั้น สระน้ำอมฤตอันเป็นสถานที่ชำระกิเลสมลทินมีอยู่ แต่บุคคลผู้ต้องการจะชำระไม่แสวงหาสาระ จะโทษสระน้ำอมฤตไม่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษเปื้อนคูถเห็นสระมีน้ำเต็มแล้ว ไม่ไปหาสระเอง จะโทษสระนั้นไม่ได้ฉะนั้น บุคคลผู้ถูกกิเลสห้อมล้อมแล้ว เมื่อทางเกษมมีอยู่แต่ไม่แสวงหาทางนั้น จะไปโทษทางเกษมไม่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษถูกข้าศึกล้อมไว้ เมื่อทางสำหรับจะหนีไปมีอยู่แต่เขาไม่หนีไป จะโทษทางนั้นไม่ได้ ฉะนั้น บุคคลผู้มีทุกข์ถูกพยาธิคือกิเลสเบียดเบียด ไม่แสวงหาอาจารย์ จะโทษอาจารย์นั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ป่วยไข้ เมื่อหมอมีอยู่แต่ไม่ให้รักษาความป่วยไข้นั้น จะโทษหมอนั้นไม่ได้ ฉะนั้น [เอาละ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าเต็มไปด้วยซากศพนี้ไปเสียเถิด] เราพึงเป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ไม่ต้องการ ละทิ้งกายอันเปื่อยเน่าสั่งสมด้วยซากศพต่างๆ นี้ไปเสีย เปรียบเหมือนบุรุษพึงเปลื้องซากศพอันน่าเกลียดพันอยู่ที่คอออกเสีย แล้วพึงไปอยู่เป็นสุขเสรีตามลำพังตน ฉะนั้น เราจักละทิ้งกายอันเต็มด้วยซากศพต่างๆ นี้ไปเสีย ดังถ่ายอุจจาระในส้วมแล้วไป เปรียบเหมือนบุรุษและสตรีถ่ายอุจจาระลงในส้วมเสร็จแล้วออกไปโดยไม่ห่วงใย ไม่ต้องการ ฉะนั้น เราจักละทิ้งกายอันมีช่อง 9 แห่ง มีน้ำหนองเป็นนิตย์นี้ไปเสีย ดังเจ้าของเรือทิ้งเรือที่คร่ำคร่า เปรียบเหมือนเจ้าของเรือที่เก่าคร่ำคร่า ชำรุดน้ำชุ่มไปโดยไม่ห่วงใยไม่ต้องการ ฉะนั้นเถิด เราจักละกายนี้ซึ่งเปรียบเสมอด้วยมหาโจรไปเสีย เพราะกลัวจะชิงตัดกุศล เปรียบเหมือนบุรุษถือห่อสิ่งของไปกับพวกโจร ทิ้งโจรไปเสียเพราะเห็นภัย คือโจรจะชิงสิ่งของ ฉะนั้น
ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว ได้ให้ทรัพย์หลายร้อยโกฏิแก่คนไม่มีที่พึ่งและคนอนาถาแล้ว เข้าไปยังภูเขาหิมวันต์ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีเขาลูกหนึ่งชื่อธรรมมิกบรรพต เราสร้างอาศรมอย่างดี สร้างบรรณศาลาอยู่ที่เขาธรรมมิกบรรพต ณ ที่นั้นเราสร้างที่จงกรมอันเว้นโทษ 5 ประการ ประกอบด้วยคุณ 8 ประการ เป็นที่นำมาซึ่งอภิญญาและพละไว้ ทิ้งผ้าสาฎกประกอบด้วยโทษ 9 ประการเสีย นุ่งผ้าเปลือกไม้กรองอันประกอบด้วยคุณ 12 ประการเราละบรรณศาลาอันเกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ 8 ประการเสีย มาอาสัยโคนไม้อันประกอบด้วยคุณ 10 ประการ เราละทิ้งข้าวเปลือกที่ปลูกไว้หว่านไว้เสียโดยไม่เหลือ เก็บเอาผลไม้ที่หล่นเองซึ่งประกอบด้วยคุณหลายอย่างมาบริโภค ณ ที่นั้น เราบำเพ็ญความเพียรอยู่ในที่นั่งและที่จงกรมภายใน 7 วันก็ได้บรรลุอภิญญาและพละ เมื่อเราถึงความสำเร็จมีความเย็นใจในศาสนาอย่างนี้แล้วพระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้น เมื่อพระพิชิตมารเสด็จอุบัติบังเกิด ตรัสรู้ และในการแสดงพระธรรมเทศนา เราผู้เปี่ยมด้วยความยินดีในฌาน ไม่ได้เห็นนิมิต 4 ประการ ชนทั้งหลายทูลนิมนต์พระตถาคต ณ ที่ประทับในปัจจันตประเทศช่วยกันแผ้วถางทาง สำหรับพระตถาคตเสด็จดำเนินมาสมัยนั้น เราออกจากอาศรมของตนแล้ว สลัดผ้าคากรองเหาะไปในอัมพรได้เห็นหมู่ชนผู้มีจิตโสมนัส ยินดี ร่าเริงเบิกบานใจ จึงลงจากอากาศมาถามมนุษย์ทั้งหลายในขณะนั้นว่า มหาชนผู้มีจิตโสมนัส ยินดี ร่าเริง เบิกบานใจ ช่วยกันแผ้วถางทางสำหรับเดินเพื่อใครชนเหล่านั้นอันเราถามแล้วบอกว่า พระพุทธชินเจ้าผู้ยอดเยี่ยมเป็นนายกของโลก พระนามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ชนทั้งหลายช่วยกันแผ้วถางทางสำหรับเดินเพื่อพระองค์ ขณะนั้นปีติเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ เราจึงกล่าวประกาศความโสมนัสว่า พุทโธ พุทโธ เราทั้งยินดีทั้งสลดใจยืนคิดอยู่ ณ ที่นั้นว่าเราจะปลูกพืชคือบุญลงในที่นี้ขณะอย่างได้ล่วงไปเสียเลย แล้วกล่าวว่าถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันถางทางเพื่อพระพุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสหนึ่งแก่ข้าพเจ้าแม้ข้าพเจ้าก็จะช่วยแผ้วถางทางเสด็จดำเนินในกาลนั้นชนเหล่านั้นได้ให้โอกาสเพื่อการถางทางแก่เรา
ครั้งนั้น เราถางทางไปพลางคิดไปพลางว่า พุทโธ พุทโธ เมื่อเราทำยังไม่ทันเสร็จ พระมหามุนีทีปังกรชินเจ้ากับพระขีณาสพสี่แสนผู้ได้อภิญญา 6 ผู้คงที่ปราศจากมลทินก็เสด็จมาถึง การต้อนรับย่อมเป็นไป คนเป็นอันมากประโคมกลองเภรี มนุษย์และเทวดาต่างก็มีใจเบิกบานเปล่งเสียงสาธุการ เทวดาก็เห็นมนุษย์ มนุษย์ก็เห็นเทวดา มนุษย์และเทวดาทั้งสองพวกนั้น พากันประนมอัญชลีเดินตามพระตถาคตพวกเทวดาเอาดนตรีทิพย์มาประโคม พวกมนุษย์เอาดนตรีมนุษย์มาประโคม เดินตามพระตถาคตมาทั้งสองพวกทวยเทพผู้อยู่ในอากาศต่างก็โปรยปรายดอกมณฑารพดอกปทุม ดอกปาริชาตทิพย์ ลงยังทิศน้อยทิศใหญ่และโปรยลงซึ่งกระแจะจันทน์ และของหอมอย่างดีล้วนแต่เป็นของทิพย์ลงยังทิศน้อยทิศใหญ่ พวกมนุษย์ผู้ที่อยู่บนพื้นดิน ก็โปรยดอกจำปา ดอกช้างน้าว ดอกประดู่ ดอกกากะทิง ดอกบุนนาค ดอกการเกตลงยังทิศน้อยทิศใหญ่เราสยายผมแล้ว เอาผ้าคากรองและหนังสัตว์ลาดลงบนเปือกตม นอนคว่ำลง ณ ที่นั้น ด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก จงทรงเหยียบเราเสด็จไปเถิด อย่าทรงเหยียบเปือกตมนั้นเลย ข้อนั้นจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เมื่อเรานอนอยู่ที่พื้นดิน ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เรา (มิได้) ปรารถนาว่า วันนี้ พระพุทธเจ้าพึงทรงเผากิเลสของเราประโยชน์อะไรแก่เราด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก และด้วยการทำให้แจ้งซึ่งธรรม ณ ที่นี้ เราพึงบรรลุสัพพัญญุตญาณหลุดพ้นแล้วพึงเปลื้องหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวดาให้หลุดพ้นเถิด ประโยชน์อะไรด้วยเราผู้เป็นคนมีกำลังจะข้ามไปคนเดียวเล่า เราบรรลุสัพพัญญุตญาณได้ และจะช่วยหมู่ชนให้ข้ามได้เป็นอันมาก ด้วยอธิการที่เราทำแล้วในพระพุทธเจ้านี้ เราตัดกระแสสงสารกำจัดภพทั้ง 3 ขึ้นสู่เรือคือธรรมแล้ว จักช่วยหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวดาให้ข้ามได้ พระพุทธทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชาประทับยืนอยู่เหนือศีรษะเรา ตรัสพระดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดูชฎิลดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้ พระตถาคตชินเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระเกียรติยศมากจักเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ จักทรงบำเพ็ญความเพียรทำทุกกรกิริยา แล้วเสด็จไปประทับนั่งที่ควงไม้อชปาลนิโครธทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จดำเนินตามทางราบเรียบที่เขาตกแต่งไว้ไปที่ควงไม้โพธิพฤกษ์ แต่นั้นทรงทำประทักษิณโพธิมณฑลอันยอดเยี่ยมแล้ว จักตรัสรู้ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ พระมารดาบังเกิดเกล้าของพระตถาคตพระองค์นี้ จักมีพระนามว่ามายา พระบิดามีพระนามว่าสุทโธทนะพระตถาคตนี้จักมีพระนามว่าโคดม พระตถาคตพระองค์นั้น จักมีพระอัครสาวกผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคง นามว่าโกลิตะและอุปปติสสะ ภิกษุอุปฐากมีนามว่าอานนท์ จักบำรุงพระพิชิตมารนี้ จักมีอัครสาวิกาผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบระงับ มั่นคง นามว่าเขมาและอุบลวรรณา ไม้โพธิของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ประชาชนเรียกว่าอัสสัตถพฤกษ์ จิตตคฤหบดี หัตถกคฤหบดีชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอุปัฏฐากผู้เลิศนันทมารดาและอุตตราอุบาสิกา จักเป็นอุปัฏฐายิกาผู้เลิศ พระโคดมผู้มียศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุ 100 ปี
มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ฟังพระพุทธดำรัสนี้แล้ว ต่างก็เบิกบานใจกล่าวว่า ท่านผู้นี้จักเป็นหน่อพุทธธางกูร หมู่สัตว์ในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดาต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง ประนมอัญชลีถวายนมัสการว่า ถ้าเราทั้งหลายจักไม่ยินดีพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้ เราทั้งหลายจักมีหน้าพร้อมต่อหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคต ถ้าเราทั้งปวงละพระพิชิตมารพระองค์นี้ เราทั้งปวงก็จักมีหน้าพร้อมต่อหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตเปรียบเหมือนมนุษย์ผู้จะข้ามแม่น้ำไม่ยินดีท่าน้ำเฉพาะหน้า ไปยึดเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น พระพุทธทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงสมควรรับเครื่องบูชาทรงประกาศกรรมของเราแล้ว ทรงยกพระบาทเบื้องขวาขึ้น พระสาวกของพระพิชิตมารที่อยู่ ณ ที่นั้น ได้ทำประทักษิณเราทุกๆ องค์ เทวดา มนุษย์ อสูร ยักษ์ อภิวาทเราแล้วพากันกลับไป ครั้งนั้น เมื่อพระพุทธทีปังกรผู้เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกล่วงคลองจักษุเราไป เราลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว นั่งเข้าสมาธิอยู่ เราสำราญใจด้วยความสุข เบิกบานใจด้วยปราโมทย์ และอิ่มใจด้วยปิติ นั่งเข้าสมาธิอยู่ในกาลนั้น ครั้งนั้น เรานั่งขัดสมาธิแล้ว คิดอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีความชำนาญในฌาน ถึงที่สุดแห่งอภิญญาในหมื่นโลกธาตุ ฤาษีผู้เสมอเหมือนเราไม่มี ในธรรมคือฤทธิ์ไม่มีใครเสมอเรา เราได้สุขเหล่านี้ ขณะที่เราเข้าสมาธิอยู่ เทวดาผู้สถิตอยู่ในหมื่นจักรวาล พากันเปล่งเสียงกึกก้องว่า ท่านผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ นิมิตเหล่าใด ที่เคยปรากฏในขณะที่พระโพธิสัตว์ในปางก่อนนั่งเข้าสมาธิอันประเสริฐ นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ความหนาวถึงความซาบซึม และความร้อนสงบ นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ หมื่นโลกธาตุเงียบเสียง สงบเสียง นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ลมพายุย่อมไม่พัดแม่น้ำย่อมไม่ไหล นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ไม้ดอกพันธุ์ไม้บกและพันธุ์ไม้น้ำทุกชนิด ผลิดอกในขณะนั้น แม้วันนี้ดอกไม้เหล่านี้ก็บานทุกดอก ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ไม้เถาหรือไม้ต้น ย่อมเผล็ดผลในขณะนั้น แม้วันนี้ไม้ผลทุกชนิดก็เผล็ดผลในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ รัตนะทั้งที่อยู่ในอากาศและพื้นดินย่อมสว่างไสวในขณะนั้น แม้วันนี้รัตนะเหล่านั้นก็สว่างไสว ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดนตรีทั้งของมนุษย์และทิพย์ ย่อมประโคมในขณะนั้น แม้วันนี้ดนตรีทั้งสองอย่างนั้นก็ประโคม ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดอกไม้อันวิจิตรย่อมตกลงจากอากาศในขณะนั้น แม้วันนี้ดอกไม้เหล่านั้นก็ปรากฏ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ มหาสมุทรย่อมกระฉอกฉ่อน หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว แม้วันนี้สิ่งทั้งสองนั้นก็มีเสียงครืนๆ อยู่ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ไฟในนรกหมื่นขุมย่อมดับในขณะนั้น แม้วันนี้ไฟนั้นก็ดับแล้ว ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ พระอาทิตย์ย่อมปราศจากมลทิน ดาวทุกดวงย่อมปรากฏแจ่มจ้า แม้วันนี้พระอาทิตย์และดาวทุกดวงก็แจ่มจ้า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ โดยที่ฝนไม่ตกเลย น้ำในแม่น้ำก็ขึ้นในขณะนั้น แม้วันนี้น้ำในแม่น้ำก็ขึ้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ หมู่ดาวนักษัตรในท้องฟ้า ย่อมส่องแสงไพโรจน์ พระจันทร์วันวิสาขฤกษ์แจ่มจ้า ท่านผู้นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าแน่ งูที่อยู่รูและที่อยู่ตามซอก ย่อมออกจากที่อยู่ของตน แม้วันนี้งูเหล่านั้นก็ออกมาเพ่นพ่าน ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ยินดีไม่มี ย่อมยินดีทั่วกันในขณะนั้น แม้วันนี้สัตว์ก็ยินดีทั่วกัน ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ โรคทุกชนิดเบาบางสงบ และความหิวย่อมหายไป แม้วันนี้ก็ปรากฏอย่างนั้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ในกาลนั้นราคะย่อมบางเบา โทสะและโมหะย่อมเสื่อมคลาย แม้วันนี้ก็ปราศจากไปหมดสิ้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ในกาลนั้นภัยย่อมไม่มี แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนี้ ด้วยนิมิตนั้น เราทั้งหลายจึงรู้ได้ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ธุลีย่อมไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนั้น ด้วยนิมิตนั้นเราทั้งหลายจึงรู้ได้ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ กลิ่นเหม็นย่อมปราศจากไป มีแต่กลิ่นหอมตลบไป แม้วันนี้ก็มีกลิ่นหอมตลบไป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ เทวดาทั้งปวงย่อมปรากฏ เว้นแต่ที่ไม่มีรูป แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ขณะนั้น นรกมีประมาณเท่าใด ก็ปรากฏหมดเท่านั้น แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ในกาลนั้น หม้อไห บานประตู ภูเขา ย่อมไม่มีอะไรปิด แม้วันนี้ก็เปิดโล่ง ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ การจุติและการอุบัติ ย่อมไม่มีในขณะนั้น แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนั้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ (นิมิตเหล่านี้ย่อมปรากฏ เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของสัตว์) ท่านจงบำเพ็ญเพียรให้มั่นเถิด อย่าถอยกลับจงก้าวไปข้างหน้า แม้เราทั้งหลายก็รู้ท่านว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่
เราได้ฟังพระพุทธดำรัส และคำของเทวดาในหมื่นโลกธาตุแล้วก็ยินดี ร่าเริง เบิกบานใจ ได้คิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า พระพุทธชินเจ้ามีพระวาจาไม่เป็นสอง มีพระวาจาไม่เปล่าประโยชน์ พระพุทธเจ้าไม่ตรัสคำไม่จริง เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนก้อนดินที่โยนขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงมาที่พื้นดินแน่นอน ฉะนั้น (พระพุทธเจ้าไม่ตรัสคำไม่จริง เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่) พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนสัตว์ทั้งปวงต้องตายเป็นแน่ ฉะนั้น พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนเมื่อราตรีสิ้นไปพระอาทิตย์ขึ้นแน่ ฉะนั้น พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนราชสีห์เมื่อลุกจากที่นอน ต้องบันลือสีหนาทแน่ ฉะนั้นพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลายผู้ไปถึงที่หมายแล้ว ย่อมปลงภาระอันหนักลง ฉะนั้น เอาละ เราจักค้นหาพุทธการกธรรม จากข้างนี้ๆ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำทั้งทิศน้อยทิศใหญ่ตลอดทั่วธรรมธาตุ ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นทานบารมี เป็นข้อที่ 1 ซึ่งเป็นทางใหญ่อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อนประพฤติมาจึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 1 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญทานบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านเห็นยาจกทั้งชั้นต่ำ ปานกลางและชั้นสูงแล้ว จงให้ทานอย่าให้เหลือ ดังหม้อที่เขาคว่ำไว้ เปรียบเหมือนหม้อที่เต็มด้วยน้ำ ผู้ใดผู้หนึ่งจับคว่ำลงแล้ว น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่ขังอยู่ในหม้อนั้น ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็นศีลบารมีเป็นข้อที่ 2 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 2 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญศีลบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านจงบำเพ็ญศีลในภูมิ 4 ให้บริบูรณ์ จงรักษาศีลในกาลทั้งปวง ดังจามรีรักษาขนหาง เปรียบเหมือนดังจามรีย่อมรักษาขนหางอันติดในที่ไรๆ ยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมทำขนหางให้เสีย ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้เห็นเนกขัมมบารมีเป็นข้อที่ 3 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 3 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านจงเห็นภพทั้งปวงดังเรือนจำ ท่านจงมุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ เพื่อหลุดพ้นไปจากภพ เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกขังในเรือนจำ ได้รับทุกข์มานาน ย่อมไม่ยังความยินดีให้เกิดในเรือนจำนั้น แสวงหาความพ้นไป ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นปัญญาบารมีเป็นข้อที่ 4 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีที่ 4 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจะบำเพ็ญปัญญาบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านได้สอบถามคนมีปัญญาตลอดกาลทั้งปวง บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนภิกษุ เมื่อเที่ยวภิกษา ไม่เว้นตระกูลต่ำ ปานกลางและสูงย่อมได้อาหารเครื่องเยียวยาอัตภาพ ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป
ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้เห็นวิริยบารมีเป็นข้อที่ 5 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัยจึงเตือนตนเองว่าท่านจงยึดบารมีข้อที่ 5 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญวิริยบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านประคองความเพียรให้มั่นไว้ทุกภพ บำเพ็ญวิริยบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนสีหมฤคราช มีความเพียรไม่ย่อหย่อนในที่นั่งที่ยืนและที่เดินประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรม อันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไปในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้เห็นขันติบารมีเป็นข้อที่ 6 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 6 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านมีใจแน่วแน่ในขันตินั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ท่านจงอดทนต่อคำยกย่องและคำดูหมิ่นทั้งปวง บำเพ็ญขันติบารมีเปรียบเหมือนแผ่นดินอดทนสิ่งที่เขาทิ้งลงทุกอย่างทั้งสะอาดและไม่สะอาด ไม่แสดงความยินดียินร้ายฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็นสัจจบารมีเป็นข้อที่ 7 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 7 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านมีใจแน่วแน่ในสัจจะนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ดาวประกายพฤกษ์เป็นดาวนพเคราะห์ ประจำอยู่ในมนุษย์โลกทั้งเทวโลก ไม่หลีกไปจากทางเดิน ทุกสมัยฤดูหรือปี ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น อย่าหลีกไปจากแนวในสัจจะ บำเพ็ญสัจจบารมีแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็นอธิษฐานบารมีเป็นข้อที่ 8 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่าท่านจงยึดบารมีข้อที่ 8 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านไม่หวั่นในอธิษฐานบารมีนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ท่านจงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในการอธิษฐานในการทั้งปวง บำเพ็ญอธิษฐานบารมี เปรียบเหมือนภูเขาหินไม่หวั่นไหว ตั้งมั่น ไม่สะท้านสะเทือนเพราะลมจัด คงอยู่ในที่เดิม ฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้เห็นเมตตาบารมีเป็นข้อที่ 9 ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 9 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุสัมโพธิญาณ ท่านจงเจริญเมตตาให้เสมอกันทั้งในสัตว์ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์บำเพ็ญเมตตาบารมี เปรียบเหมือนน้ำย่อมแผ่ความเย็น ชำระล้างมลทินธุลี เสมอกันทั้งในคนดีและคนชั่ว ฉะนั้นแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็นอุเบกขาบารมีเป็นข้อที่ 10 ที่พระพุทธเจ้าทรงเสพอาศัยจึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ 10 นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้มีอุเบกขามั่นคงดังตราชั่ง จักบรรลุโพธิญาณได้ ท่านจงมีใจเที่ยงตรงดังตราชั่งในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อ บำเพ็ญอุเบกขาบารมีเปรียบเหมือนแผ่นดินย่อมวางเฉย สิ่งที่เขาทิ้งลงทั้งที่ไม่สะอาดและสะอาดทั้งสองอย่าง เว้นจากความโกรธและความยินดี ฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ มีอยู่ในโลกเพียงเท่านี้ นอกจากนี้ที่ยิ่งกว่านั้นไม่มี ท่านจงตั้งมั่นอยู่ในธรรม นั้นเถิด.
เมื่อเราพิจารณาเห็นธรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งภาวะ กิจของตนและลักษณะ พื้นพสุธาในหมื่นจักรวาล ก็หวั่นไหวด้วยเดชแห่งธรรมปฐพีย่อมหวั่นไหวส่งเสียงร้อง เหมือนหีบอ้อยบีบอ้อย ฉะนั้น เมทนีดลย่อมหวั่นไหว เหมือนล้อยนต์ใส่น้ำมัน ฉะนั้น บริษัทประมาณเท่าใด มีอยู่ในบริเวณรอบๆ พระพุทธเจ้าบริษัทในบริเวณนั้นหวั่นไหวนอนซบอยู่ที่ภาคพื้นหม้อน้ำหลายพันหม้อ หม้อข้าวหลายพันหม้อ หม้อใส่กระแจะและหม้อเปรียงในที่นั้น กระทบกันและกันมหาชนหวาดเสียว สะดุ้งกลัว ประหลาดใจ มีใจหวาดหวั่นประชุมกันแล้ว พากันเข้าเฝ้าพระพุทธทีปังกร ทูลถามว่าความดีงามหรือความชั่วร้ายอะไรจักมีแก่โลก โลกทั้งปวงจักมีอันตรายหรือ ขอพระองค์ผู้มีพระจักษุ โปรดบรรเทาอันตรายนั้นเถิด ในกาลนั้น พระพุทธทีปังกรมหามุนี ทรงชี้แจงให้มหาชนนั้นเข้าใจว่า ในการที่แผ่นดินหวั่นไหวนี้ ท่านทั้งหลายจงเบาใจ อย่ากลัวเลย วันนี้ เราพยากรณ์ผู้ใดว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ผู้นั้นพิจารณาเห็นธรรมที่พระพิชิตมารทรงเสพมาก่อน เมื่อผู้นั้นพิจารณาธรรมอันเป็นพุทธภูมิโดยไม่เหลือ เพราะเหตุนั้น ปฐพีในหมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งในเทวโลก จึงหวั่นไหว ขณะนั้น มหาชนได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วเย็นใจ ทุกคนพากันมาหาเราแล้ว ก็กราบไหว้อีก ในกาลนั้น เรายึดพระพุทธคุณ ทำใจให้มั่นคง ถวายนมัสการพระพุทธทีปังกรแล้ว ลุกจากอาสนะ ขณะเมื่อเราลุกขึ้นจากอาสนะ ทวยเทพและหมู่มนุษย์ ก็พากันเอาดอกไม้ทิพย์และดอกไม้มนุษย์โปรยปรายลง อนึ่ง ทวยเทพและหมู่มนุษย์นั้น ต่างก็อวยชัยให้พรสวัสดีว่า ท่านปรารถนาภูมิอันใหญ่หลวง ขอให้ท่านได้ภูมินั้นตามปรารถนาเถิด เสนียดจัญไรทั้งปวงจงอย่ามี ความโศกและโรคจงอย่ามี อันตรายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอให้ท่านได้บรรลุโพธิญาณอันอุดมเร็วพลัน ข้าแต่ท่านผู้มีเพียรใหญ่ ท่านย่อมบานด้วยพุทธญาณ เปรียบเหมือนไม้ดอกย่อมมีดอกบานในฤดูที่มาถึง ฉะนั้น ข้าแต่ท่านผู้มีเพียรใหญ่ขอให้ท่านจงบำเพ็ญบารมี 10 ประการ ดังพระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งทรงบำเพ็ญฉะนั้นเถิด ข้าแต่ท่านผู้มีเพียรใหญ่ ขอให้ท่านจงตรัสรู้ที่โพธิพฤกษ์ เหมือนหนึ่งพระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ตรัสรู้ที่โพธิมณฑลเถิด ข้าแต่ท่านผู้มีเพียรใหญ่ ขอให้ท่านจงประกาศธรรมจักร อย่างพระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งทรงประกาศ ฉะนั้นเถิด ขอให้ท่านมีใจเต็มเปี่ยม รุ่งเรืองในหมื่นจักวาล เช่นพระจันทร์เต็มดวง ส่องแสงสว่างในวันเพ็ญ ฉะนั้นเถิด ขอให้ท่านพ้นจากโลก รุ่งเรืองด้วยศิริดังพระอาทิตย์พ้นจากราหูแผดแสงสว่างจ้าฉะนั้นเถิด โลกพร้อมด้วยเทวโลก มาประชุมกันในสำนักของท่านเปรียบเหมือนแม่น้ำทุกสายย่อมไหลมารวมลงยังทะเลหลวง ฉะนั้น ในกาลนั้น สุเมธดาบสนั้น อันทวยเทพและหมู่มนุษย์เหล่านั้น ชมเชย สรรเสริญแล้ว สมาทานธรรม 10 ประการ เมื่อจะบำเพ็ญธรรมเหล่านั้นให้บริบูรณ์ จึงเข้าป่าใหญ่.
จบสุเมธกถา.
ในกาลนั้น มหาชนเหล่านั้น นิมนต์พระศาสดาพระนามว่า ทีปังกรผู้เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ ให้เสวยแล้ว ได้ถือเป็นสรณะ พระตถาคตผู้นราสภ ทรงยังใครๆ ให้ตั้งอยู่ในสรณะพระตถาคตผู้นราสภ ทรงยังใครๆ ให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ ทรงยังใครๆ ให้ตั้งอยู่ในเบญจศีล ทรงยังใครๆ ให้ตั้งอยู่ในศีล 10 ทรงประทานสามัญผล คือ ผล 4 อันสูงสุดให้แก่ใคร ทรงประทานธรรมอันไม่มีธรรมอื่นเสมอ คือปฏิสัมภิทาให้แก่ใคร ทรงประทานสมาบัติ อันประเสริฐ 8 ให้แก่ใคร ทรงประทานวิชชา 3 อภิญญา 6 ให้แก่ใคร มหามุนีย่อมตรัสสอนหมู่ชน ด้วยธรรมเครื่องประกอบนั้น พระศาสนาของพระโลกนาถ แผ่ไปกว้างขวางด้วยธรรมนั้น พระศาสดาทรงพระนามว่า ทีปังกร มีพระหนุใหญ่ และพระกายงาม ทรงช่วยให้คนหมู่มากข้ามไป ทรงเปลื้องให้พ้นทุคติ พระมหามุนีทรงเห็นคนที่ควรให้ตรัสรู้ได้แม้ในแสนโยชน์ ก็เสด็จไปชั่วขณะเดียว ทรงยังผู้นั้นให้ตรัสรู้ ในธรรมาภิสมัยครั้งที่ 1 พระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก ทรงยังชนให้ตรัสรู้ร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าสิบโกฏิ และธรรมาภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่ทวยเทพเก้าหมื่นโกฏิ ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในเทพพิภพพระพุทธทีปังกรบรมศาสดาทรงประชุมพระสาวก 3 ครั้ง การประชุมครั้งที่ 1 มีพระสาวกแสนโกฏิ เมื่อพระพิชิตมาร ประทับอยู่ในที่วิเวก ที่ยอดเขานารทะอีก พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทินร้อยโกฏิมาประชุมกัน สมัยใด พระมหามุนีมหาวีรเจ้า ทรงปวารณาพรรษา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เก้าหมื่นโกฏิ ที่ยอดเขาสุทัสนะ สมัยนั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะอันรุ่งเรือง รู้จบอภิญญา 5 เหาะไปในอากาศได้ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาและมนุษย์สองแสน ธรรมาภิสมัยในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 คณนานับมิได้
ในกาลนั้น พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคทีปังกรแผ่ไพศาล มีคนมาก เจริญแพร่หลายบริสุทธิ์สะอาด ภิกษุสงฆ์สี่แสน ล้วนได้อภิญญา 6 มี ฤทธิ์มาก แวดล้อมพระผู้มีพระภาคทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งโลกในกาลทั้งปวง สมัยนั้นชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ได้บรรลุอรหัตเป็นพระเสขะ ละภพมนุษย์ไป ชนเหล่านั้นย่อมถูกครหา พระศาสนาแพร่หลาย งดงามด้วยพระอรหันตขีณาสพ ผู้คงที่ ปราศจากมลทิน ในกาลทั้งปวง พระนครชื่อรัมมวดี พระชนกนาถของพระทีปังกรบรมศาสดาเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่าสุเทพ พระชนนีทรงพระนามว่า สุเมธาพระพิชิตมารทรงครอบครองอคารสถานอยู่หมื่นปี ทรงมีฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูงมากมาย มีปราสาทอันประเสริฐ 3 ปราสาทมีนางสนมนารีกำนัลใน 3 แสน ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่าปทุมา พระราชโอรสพระนามว่าอุสภขันธกุมารพระองค์ทรงเห็นนิมิต 4 ประการแล้ว เสด็จออกผนวชด้วยคชสารยานพระที่นั่งต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 10 เดือนเต็ม ครั้นทรงประพฤติปธานจริยาแล้ว ก็ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ พระมหามุนีทีปังการ มหาวีรชินเจ้าอันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในนันทารามประทับนั่งที่ควงไม้ซึก ทรงปราบปรามเดียรถีย์ ทรงมีพระสุมงคลเถระ และพระติสสเถระเป็นพระอัครสาวก มีพระเถระชื่อว่าสาคตะเป็นอุปัฏฐากมีพระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี เป็นพระอัครสาวิกาไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์มหาชนเรียกว่า ปิปผลิ ทรงมีอุบาสกชื่อ ตปุสสะ และภัลลิกะเป็นอัครอุปัฏฐาก นางสิริมา และ นางโสณา เป็นอุปัฏฐายิกาพระมหามุนีทีปังกร สูง 80 ศอก ทรงงดงามดังไม้ประจำทวีปเหมือนพญารังกำลังดอกบาน พระองค์มีพระรัศมีแผ่ซ่านออก 10 โยชน์ โดยรอบ พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง มีพระชนมายุแสนปี ทรงดำรงอยู่นานเพียงนั้น ทรงประกาศสัทธรรมให้รุ่งเรืองช่วยบุคคลให้พ้นวัฏสงสารไปเป็นอันมาก พระองค์เองทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ แล้วเสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก พระฤทธิ์ ยศบริวาร และจักรรัตนะที่พระยุคลบาท หายไปหมดทุกอย่าง สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระทีปังกรชินศาสดา เสด็จนิพพาน ณ นันทารามพระสถูปของพระองค์ที่นันทารามนั้น สูง 36 โยชน์ พระสถูปบรรจุบาตร จีวร และบริขารและเครื่องบริโภคของพระองค์ตั้งอยู่ที่ควงไม้โพธิพฤกษ์ในกาลนั้นสูง 3 โยชน์.
จบทีปังกรพุทธวงศ์ ที่ 1
ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 (ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์-จริยาปิฎก)
ฉายา: ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
ความสูง: 80 ศอก
รัศมี: แผ่ซานออก 10 โยชน์โดยรอบ
บำเพ็ญบารมี: 16 อสงไขยแสนกัป
วรรณะ: กษัตริย์
พุทธบิดา: สุเทพ
พุทธมารดา: สุเมธา
พระนคร: รัมมวดี
ใช้ชีวิตฆราวาส: 10,000 ปี
มเหสี: ปทุมา
ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช: ทรงประทับบนหลังช้างออกบวช
ระยะเวลาการทำความเพียร: 10 เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นไม้ตรัสรู้: ที่โคนต้น ปิปผลิ (ต้นไม้เลียบ)
อายุขัย: 100,000 ปีจึงปรินิพพานที่สวนนันทาราม
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250