ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านพระรัฏฐปาล เป็นบุตรของรัฏฐปาลเศรษฐี ผู้เป็นหัวหน้าในหมู่ชน ชาวถุลลโกฏฐิตนิคม แคว้นกุรุ
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดา เสด็จจาริกไปในแคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ บรรลุถึงถุลลโกฏฐิตนิคม ชาวนิคมได้ทราบว่า พระบรมศาสดาเสด็จมาจึงพากันมาเข้าไปเฝ้าบางพวกถวายบังคม พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ให้เกิดความเลื่อมใสแล้วรัฏฐปาละเกิดความเลื่อมใสใคร่จะบวชจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลขอบรรพชา ครั้นได้ทราบว่าพระบรมศาสดา ไม่ทรงบวชกุลบุตร ที่มารดาบิดาไม่อนุญาต รัฏฐปาละ ก็พูดอ้อนวอนเป็นหลายครั้ง มารดาบิดาไม่ยอม รัฏฐปาละเสียใจ ลงนอนไม่ลุกขึ้นอดอาหารเสียไม่กินคิดว่าจักตายในที่นี้หรือจักบวชเท่านั้น บิดามารดาของรัฏฐปาละจึงขอให้สหายรัฏฐปาละมาช่วยพูด และสรุปได้ว่าหากรัฏฐปาละบวชแล้ว ขอให้กลับมาเยี่ยมบ้าง เมื่อทราบว่า มารดาบิดาอนุญาตแล้ว ดีใจลุกขึ้นเช็ดตัว แล้วอยู่บริโภคอาหารพอร่างกาย มีกำลังไม่กี่วันแล้ว ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลว่าบิดามารดาอนุญาตแล้ว พระองค์ก็โปรดให้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ครั้นพระรัฏฐปาละ บวชแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระบรมศาสดา เสด็จจากถุลลโกฏฐิตนิคม ไปประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ส่วนพระรัฏฐปาละ ตามเสด็จไปด้วย ท่านตั้งอยู่ในความไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสนา ได้สำเร็จพระอรหัตผล ถึงที่สุดของพรหมจรรย์แล้ว ถวายบังคมลา ออกจากสาวัตถี เที่ยวจาริกไปถึงถุลลโกฏฐิตนิคมพักอยู่ที่มิคจิรวันพระราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินกุรุ ในเวลาเช้า ท่านเข้าไปบิณฑบาตในนิคมนั้น จนถึงที่ใกล้เรือนของท่าน นางทาสีเห็นท่านแล้ว ก็จำได้ จึงบอกเนื้อความนั้น ให้แก่มารดาบิดาของท่านทราบ มารดาบิดาของท่าน จึงได้นิมนต์ท่านไปฉันในเรือน ในวันรุ่งขึ้น แล้วอ้อนวอน ให้ท่านกลับมาครอบครองสมบัติอีก ท่านก็ไม่สมประสงค์ เมื่อท่านรัฏฐปาละฉันเสร็จแล้วก็
กล่าวคาถาอนุโมทนาพอเป็นทางให้เกิดสังเวชในร่างกายแล้วจึงกลับมิคจิรวัน ส่วนพระเจ้าโกรัพยะ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นรัฏฐปาละ ทรงจำได้ เพราะทรงรู้จักแต่เดิมมา เสด็จเข้าไปใกล้ ตรัสปราศรัยและประทับ ณ ราชอาสน์ ตรัสถามว่า รัฏฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อมมี 4 อย่าง ที่คนบางจำพวก ต้องประสบเข้าแล้ว จึงออกบวช คือ แก่ชรา, เจ็บ, สิ้นโภคทรัพย์, สิ้นญาติ ความเสื่อม 4อย่างนี้ ไม่มีแก่ท่าน ท่านรู้เห็น หรือได้ฟังอย่างไร จึงได้ออกบวช ท่านทูลว่า มหาบพิตร มีอยู่ ธรรมุทเทศ (ธรรมที่แสดงขึ้นเป็นหัวข้อสี่ข้อ) ที่พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นผู้รู้เห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบทรงแสดงขึ้นแล้วจึงออกบวช คือข้อที่หนึ่ง โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นตัวนำเข้าไปใกล้ความตาย ไม่ยั่งยืนข้อที่สอง ว่าโลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกันไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน ข้อที่สาม ว่า โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปข้อที่สี่ ว่าโลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสแห่งตัณหาครั้นท่านพระรัฏฐปาละ ทูลเหตุที่ตนออกบวช แก่พระเจ้าโกรัพยะอย่างนี้แล้ว พระมหากษัตริย์ ก็ทรงเลื่อมใส ตรัสอนุโมทนาธรรมีกถา แล้วเสด็จกลับไป
อาศัยคุณที่ท่าน เป็นผู้บวชด้วยศรัทธามาแต่เดิม และกว่าจะบวชได้ ก็แสนยากลำบากนัก พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องว่า เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้บวชด้วยศรัทธา (สทฺธาปพฺพชิตานํ)
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250