สุภัททะ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในเมืองกุสินารา ตั้งใจว่าถ้า มีเวลาจะเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาข้อข้องใจของตนที่มีมานาน ที่ยัง รีรออยู่ ก็เพราะคิดว่ายังมีเวลา แต่พอทราบว่าพระพุทธองค์จะ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว จึงรีบไปยังสาลวโนทยาน สถานที่ พระพุทธองค์ประทับก่อนปรินิพพาน
พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณารับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า สุภัททะ เข้าไปถวายบังคม แล้วกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสมณะพราหมณ์ที่เป็นเจ้าคณะเป็นคณาจารย์ เป็นเจ้าลัทธิ มีชื่อเสียงจนเป็นอันมากยอมรับว่าเป็นคนดี คือปูรณกัสสปะ มักขิโคสาละ อชิตเกสกัมพล ปกุธ- กัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร และนิครนถ์นาฏบุตร ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ ทั้งหมด หรือว่าไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกได้ตรัสรู้ บางพวกไม่ได้ตรัสรู้ พระพุทธวจนะที่ตรัสว่า “ถ้าภิกษุทั้งหลายพึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์” คำว่า “อยู่โดยชอบ” คือ ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด สรุปลง เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือสรุปให้สั้นกว่านั้นคือ สมถะกับวิปัสสนา สุภัททะฟังพระธรรมเทศนาโดยย่อแล้ว ประกาศตนเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตลอดชีวิต ทูลขอบวช เนื่องจากสุภัททะเป็นเดียรถีย์ คือนับถือศาสนาอื่นมาก่อน การจะบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ ต้องผ่านการอยู่ “ปริวาส” (คือ อยู่ปฏิบัติทดสอบศรัทธา) เป็นเวลา ๔ เดือนก่อนจึงจะบวชได้ เป็นอันว่า พระสุภัททะได้เป็นพระสาวกรูปสุดท้าย (ปัจฉิมสาวก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250