ท่านพระนันทกเถระ เป็นบุตรพราหมณ์ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์ อยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรีผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่อมาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ ออกไปบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ นันทกมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่น ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย และอยู่ในมาณพ16คนที่พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้ไปทูล นันทกมาณพ ได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่เจ็ดว่า ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีมีอยู่ในโลก ข้อนี้เป็นอย่างไร เขาเรียกคนถึงพร้อมด้วยญาณ หรือ ถึงพร้อมด้วยการเลี้ยงชีวิตว่าเป็นมุนี
พระบรมศาสดา ทรงเฉลยว่า ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวคนว่าเป็นมุนี ด้วยได้เห็น ด้วยได้สดับ หรือด้วยได้รู้มา เรากล่าวว่า คนใดทำตนให้ปราศจากกองกิเลสเป็นคนหากิเลสมิได้ไม่มีความกังวลทะยานอยากคนผู้นั้นแลชื่อว่ามุนี นันทกมาณพถามต่อว่า สมณพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยได้เห็น ด้วยได้ฟัง ด้วยศีล และ พรต และด้วยวิธีเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านั้น ประพฤติในวิธีเหล่านั้น ตามที่ตนเห็นว่า เป็นเครื่องบริสุทธิ์ข้ามพ้นชาติชราได้ มีอยู่บ้างหรือไม่
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ถึงประพฤติอย่างนั้น เรากล่าวว่าพ้นชาติชราไม่ได้แล้ว
นันทกมาณพกล่าวต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลก หรือ ในมนุษยโลก จะพ้นชาติชราได้หรือ
พระพุทธองค์ตอบว่าเราไม่กล่าวว่า สมณพราหมณ์ อันชาติชราครอบงำแล้วหมดทุกคน แต่เรากล่าวว่า จะละอารมณ์ที่ตนได้เห็น ได้ฟัง ได้รู้ และศีลพรต กับวิธีอันมากเสียทั้งหมด กำหนดรู้ตัณหาว่าเป็นโทษควรละแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นแลข้ามพ้นชาติชราได้ นันทกมาณพกล่าวอีกว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม อันไม่มีอุปธิ (กิเลส) ชอบแล้ว เรียกสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่าผู้ข้ามห้วงแห่งชาติชราได้แล้วเหมือนพระองค์ตรัส ในเมื่อจบเทศนา นันทกมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อพระบรมศาสดา ทรงตอบปัญหามาณพอื่นๆ เสร็จแล้ว นันทกมาณพ พร้อมด้วยมาณพอีกสิบห้าคน ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250