พระสิขีพุทธเจ้า
สิขีพุทธวงศ์ที่ 20
ว่าด้วยพระประวัติพระสิขีพุทธเจ้า
สมัยต่อมาจากพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีพระนามว่าสิขี ทรงย่ำยีมารและเสนามารแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ทรงประกาศพระธรรมจักร เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระสิขีชินเจ้าผู้ประเสริฐ ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐกว่าหมู่คณะ สูงสุดกว่านรชน ทรงแสดงธรรมอีก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ 2 ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในโลกพร้อมด้วยเทวโลกธรรมาภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ แม้พระสิขีบรมศาสดา ก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทินมีจิตสงบระงับผู้คงที่ 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 พระภิกษุขีณาสพมาประชุมกันหนึ่งแสน ครั้งที่ 2 แปดหมื่น ครั้งที่ 3 เจ็ดหมื่น เปรียบเหมือนดอกปทุมอันเจริญในน้ำ น้ำเลี้ยงไว้ ฉะนั้น
สมัยนั้นเราเป็นกษัตริย์พระนามว่าอรินทมะ ได้ถวายข้าวและน้ำให้พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานฉันจนเพียงพอ ได้ถวายผ้าอย่างดีมากมายหลายโกฏิผืน ได้ถวายยานช้างอันประดับแล้ว แก่พระสัมพุทธเจ้า เราได้สร้างยานช้างให้เป็นของควรแก่สมณะแล้วนำเข้าไปถวาย เรายังฉันทะของเราซึ่งตั้งไว้มั่นเป็นนิตย์ให้เต็ม แม้พระพุทธสิขีผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ 31 แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ... ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น
เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี 10 ประการให้ยิ่งขึ้นไป พระนครชื่อว่าอรุณวดี พระบรมกษัตริย์พระนามว่าอรุณ เป็นพระชนกของพระสีขีบรมศาสดา พระนางประภาวดีเป็นพระชนนีพระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เจ็ดพันปี ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ 3 ปราสาท ชื่อสุวัฑฒกะ คิริ และนารีวาหนะ ทรงมีพระสนมนารีกำนัลในสองหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่าสรรพกามา พระราชโอรสพระนามว่าอตุละ พระองค์ทรงเห็นนิมิต 4 ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยคชสารยานพระที่นั่งต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม พระสิขีมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลกอุดมกว่านรชน อันพรหมทูลอาราธนาแล้วทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน ทรงมีพระอภิภูเถระ และพระสัมภวเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่าเขมังกรเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระมขีลาเถรีและพระปทุมาเถรีเป็นพระอัครสาวิกา ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์ เรียกกันว่า บุณฑริก [ไม้กุ่มบก] สิริวัฑฒอุบาสกและนันทอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐากจิตราอุบาสิกาและสูจิตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีพระองค์สูง 70 ศอก มีพระรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ พระรัศมี ของพระองค์ซ่านออกไปจากพระวรกายด้านละวาเนืองนิตย์ พระรัศมีนั้นเปล่งออกไปยังทิศน้อยทิศใหญ่ 3 โยชน์ พระองค์มีชนมายุเจ็ดหมื่นปี ทรงดำรงอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย พระองค์ทรงยังฝนคือธรรมให้ตก ยังมนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้ชุ่มชื่น ให้บรรลุความเกษมแล้ว เสร็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวกพระลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ อันสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะหายไปหมดสิ้นแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระพุทธสิขีมุนีผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพาน ณ อัสสาราม พระสถูปอันประเสริฐของพระองค์สูง 3 โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ อัสสารามนั้น ฉะนี้แล.
จบสิขีพุทธวงศ์ที่ 20
ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 (ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์-จริยาปิฎก)
ฉายา : ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
ความสูง : 70 ศอก
รัศมี : แผ่ซานออกไปไกล ๓ โยชน์
บำเพ็ญบารมี : บำเพ็ญบารมีครบถ้วน
วรรณะ : กษัตริย์
พุทธบิดา : พระเจ้าอรุณ
พุทธมารดา : พระนางปภาวดี
พระนคร : อรุณวดี
ใช้ชีวิตฆราวาส : 7,000 ปี
มเหสี : สรรพกามา
บุตร : อตุละ
ยานพาหนะที่ใช้ออกบวช : ทรงช้างออกบวช
ระยะเวลาการทำความเพียร : 8 เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นปุณฑริก (ต้นกุ่มบก)
อายุขัย : 70,000 ปี จึงปรินิพพาน ณ อัสสาราม
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250