พระแม่ธรณี ในความเชื่อของของมนุษย์เกือบทุกมุมโลกแล้วมักมีความเชื่อที่คล้ายๆ กันเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเทพเจ้าผู้ปกครองหรือให้กำเนิดพื้นดินหรือโลกที่เราอยู่อาศัยกันนี้ โดยคนไทยเราจะมักเรียกกันว่า พระแม่ธรณีบ้าง พระภูมิเทวีบ้าง พระแม่ปฐวีบ้างซึ่งพระแม่ธรณีนั้นก็มีปรากฏอยู่ในเทพปกรณัมของเกือบทุกอารยธรรมของโลก อาทิเช่น พระแม่ปฐวี (PRITHVI) ของศาสนาพราหมณ์, พระแม่ไกอา (GAIA) ของกรีก, เทวีนูท (NUT) ของอียิปต์ เป็นต้น
ยังความได้ว่าอารยธรรมโบราณทั่วทั้งโลกนั้นให้ความนับถือพระแม่ธรณีกันเป็นอย่างมาก ด้วยเชื่อว่าพื้นดินนั้นแบกรับภาระคอยค้ำจุนสรรพชีวิตทั้งปวงบนโลกไว้ เป็นดั่งมารดาผู้หล่อเลี้ยงอุ้มชูบุตร จึงมักพบว่าพระธรณีนั้นส่วนมากจะได้รับการยกย่องเทิดทูนไว้ในรูปสตรีหรือพระเทวีนั่นเอง
แล้วในอารยธรรมจีนนั้นก็มีพระแม่ธรณีเช่นกัน ซึ่งมีหลายตำนานมากจนบางครั้งก็ทำให้อาจสับสนว่าพระแม่ธรณีนั้นเป็นองค์ใดบ้าง เพราะประเทศจีนนั้นเป็นอีกหนึ่งในอารยธรรมใหญ่ของโลก เมื่อกล่าวถึงเรื่องเทพปกรณัมแล้วก็ย่อมมีหลากหลายองค์เช่นกัน ยกตัวอย่างอย่างในดิน
แดนชมพูทวีป ในคัมภีร์พระเวทโบราณนั้นก็กล่าวถึงบรรพบุรุษของเทพเจ้าไว้ 2 องค์ คือ สวรรค์กับพื้นดิน
โดยสวรรค์นั้นในคัมภีร์พระเวทโบราณจะกล่าวพระนามของพระองค์ว่า “โทยาษปิตฤ หรือ เทยาษปิตฤ” ซึ่งได้รับการพรรณาไว้ว่า พระองค์นั้นเป็นท้องฟ้าอันกว้างไกล คอยอำนวยเม็ดฝนและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่มวลมนุษย์ ทรงมีพระวรกายเป็นบุรุษ มีเศียรเป็นวัวตัวผู้ในเวลากลางวัน มีเศียรเป็นม้าในเวลากลางคืน
ส่วนพื้นโลกในคัมภีร์พระเวทโบราณก็จะกล่าวพระนามของพระองค์ว่า “ปฤถวีมาตฤ” ซึ่งก็ได้รับการพรรณาไว้เช่นกันว่าทรงเป็นพื้นปฐพีอันกว้างใหญ่ คอยรองรับเม็ดฝนแล้วผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร คอยโอบอุ้มเลี้ยงดูสรรพชีวิต ทรงมีพระวรกายเป็นสตรี มีเศียรเป็นม้า บ้างก็ว่าเป็นวัวตัวเมีย
ต่อมาในยุคหลังก็ว่าพระแม่ธรณีมีร่างเป็นวัว มีเศียรเป็นสตรีบ้าง แล้วต่อมาก็เปลี่ยนกลายไปเป็นพระอุมาเทวีบ้าง พระลักษมีเทวีบ้าง ก็มีในยุคหลังๆ ในอารยธรรมจีนก็เช่นกัน บ้างก็กล่าว่าพระแม่ธรณีนั้นคือเจ้าแม่ “หนี่วา” ในภาษาจีนกลาง ส่วนในภาษาจีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า “นึ่งออ” ซึ่งมีกล่าวไว้ในวรรณกรรมเรื่องไคเภ็กและวรรณกรรมเรื่องห้องสิน โดยกล่าวกันว่าเจ้าแม่หนี่วานั้นเป็นเทวีผู้สร้างทุกสรรพสิ่งบนโลก โดยเฉพาะการสร้างมนุษย์และสัตว์
เรื่องในตำนานเล่าว่าในปฐมกาลเมื่อโลกได้กำเนิดขึ้น จักรวาลนั้นยุ่งเหยิงปนเปกันหมด (ประมาณว่ามีไอน้ำหรือเมฆเคลื่อนอยู่ติดกับพื้นดิน) แล้วกาลต่อมาท้องฟ้า (สวรรค์) จึงค่อยๆ แยกออกจากพื้นดินอย่างชัดเจน
แล้วในสมัยนั้นโลกทั้งใบยังว่างเปล่าจากสรรพชีวิตอยู่ เจ้าแม่หนี่วาได้ทรงรำพึงว่าตนนั้นช่างเหงาเหลือเกิน จึงนำก้อนดินมาปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ขึ้น แล้วให้ชีวิตแก่ก้อนดินรูปสัตว์นั้น แต่พระองค์ก็ยังไม่คลายเหงา จึงนำก้อนดินมาปั้นอีกครั้งเป็นรูปมนุษย์ที่มีแขนมีขา มีหูมีตามีปากมีจมูก ดังนั้นจึงถือว่าเจ้าแม่หนี่วานั้นเป็นพระเทวีผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตบนโลก โดยในวรรณกรรมจีนกล่าวถึงลักษณะของพระองค์ไว้ว่า ทรงเป็นเทพนารีที่
มีลำตัวท่อนบนเป็นสตรี มีลำตัวท่อนล่างเป็นงู มีสิริโฉมงดงาม พระพักตร์ขาวนวล พระโอษฐ์แดง
ตามตำนานได้เล่าไว้อีกว่าครั้งหนึ่งเจ้าแม่หนี่วาได้ทรงปกป้องโลกมนุษย์ไว้ ในคราวที่เทพเจ้าแห่งไฟและเทพเจ้าแห่งน้ำได้เกิดการสัปยุทธ์กัน แล้วเทพเจ้าแห่งน้ำได้พ่ายแพ้จนรู้สึกอับอาย เลยเอาเศียรโขกไปที่ภูเขาซึ่งค้ำจุนท้องฟ้าอยู่จนภูเขานั้นพังทลาย อันทำให้โลกของเรานั้นเอียงแล้วเกิดความปั่นป่วนไปทั่ว เกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ เหล่าปิศาจได้อาศัยรอยแตกของภูเขาค้ำสวรรค์ออกมาอาละวาดทำให้มวลมนุษย์ต้องเดือดร้อนและเกิดภัยพิบัติไปทั่ว เจ้าแม่หนี่วาทรงเห็นเช่นนั้นจึงรีบตัดขาของเต่ายักษ์ทั้ง 4 ข้างมาค้ำสวรรค์ไว้แทน อีกทั้งทรงนำศิลา 7 สีมาหลอมอุดรูรั่วปิดกั้นมิให้เหล่าปิศาจออกมาอาละวาดได้อีก แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าแม่หนี่วาทรงทำไม่ได้ก็คือ การทำให้โลกกลับมาตั้งตรงดั่งเดิม จึงทำให้แกนโลกของเรายังคงเอียงเหมือนดั่งในทุกวันนี้
จากในเทพปกรณัมนี้จึงถือว่าเจ้าแม่หนี่วานั้นทรงเป็นดั่งพระแม่ธรณี ผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตบนโลก อีกทั้งยังเป็นผู้คอยค้ำจุนอุ้มชูหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตบนโลกอีกด้วย
ส่วนเทพปกรณัมเรื่องเกี่ยวกับพระแม่ธรณีของอารยธรรมจีนนั้นก็ยังมีอีก โดยกล่าวว่าพระแม่ธรณีนั้นทรงมีพระนามในภาษาจีนกลางว่า “ตี้มู่เหนียงเหนียง (地母娘娘)” หรือ “ตี่บ้อเนี้ยเนี้ย”
โดยคำว่า “地” จะหมายถึง พื้นดิน, โลก, ปฐพี, ธาตุ คำว่า “母” จะหมายถึง มารดาผู้ให้กำเนิด, คำที่ใช้เรียกสตรีผู้สูงศักดิ์, สิ่งที่ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ส่วนคำว่า “娘” จะหมายถึง เจ้าแม่และยังเป็นคำโบราณที่ใช้เรียกพระราชินีหรือนางสนมเอกด้วย
ดังนั้นคำว่า “ตี่บ้อเนี้ยเนี้ย” จึงหมายถึง เจ้าแม่ผู้ให้กำเนิดโลกนั่นเอง บ้างครั้งคำว่า “เนี้ย (娘)” ที่ต่อท้ายอาจจะใช้คำว่า “ซิ้ง (神)” ที่หมายถึงเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนก็มี
ประวัติขององค์ตี่บ้อเนี้ยเนี้ยนั้นมีน้อยมาก เห็นจะกล่าวไว้แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดและคอยคุ้มครองเลี้ยงดูสรรพชีวิตบนโลก เป็น
จักรพรรดินีแห่งโลกมนุษย์ มีศักดิ์เสมอกับจักรพรรดิแห่งสวรรค์หรือองค์เง็กเซียนฮ่องเต้เลยทีเดียว
เทวลักษณะขององค์เจ้าแม่ตี่บ้อเนี้ยเนี้ยนั้น กล่าวไว้ว่า ทรงปรากฏพระองค์ในรูปเทพนารี ทรงสวมมงกุฎบ้าง ไม่สวมมงกุฎบ้าง อาภรณ์นั้นมักปรากฏในชุดของสตรีสูงศักดิ์ มักมีรูปใบไม้ปรากฏร่วมในอาภรณ์ที่ทรงสวมใส่ด้วย ในพระหัตถ์ข้างหนึ่งทรงถือยันต์แปดทิศ อีกพระหัตถ์หนึ่งทรงถือแส้จามรีหรือไม้เท้าก็มี ประทับบนดอกบัวหรือโลก
เนื่องจากพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ยังสรรพสัตว์ให้เจริญเติบโต ทรงเป็นผู้ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ จึงมักเรียกพระองค์ในอีกพระนามหนึ่งซึ่งเป็นภาษาไทยว่า “เจ้าแม่โพสพ” ก็มี
ซึ่งก็จะไปเหมือนกับเรื่องของพระแม่ธรณีของชาวอินเดีย ที่ต่อมาได้ยกตำแหน่งไปให้กับพระลักษมีเทวี เพราะพระลักษมีเทวีนั้นมีปางหนึ่งที่มีชื่อว่า “ธัญลักษมี” อันเป็นเทวีแห่งธัญพืชและความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นพระลักษมีเทวีจึงได้ถูกขนานนามอีกพระนามหนึ่งว่า “พระภูมิเทวี” หรือมารดาแห่งโลกนั่นเอง
แหล่งที่มา : Facebook เทพเจ้าจีน
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250