ลื่อต่งปิน (吕洞賓) เซียนแห่งการรักษาโรค
องค์ลื่อต่งปิน ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา พ.ศ. ๑๓๔๑ รัชสมัยฮ่องเต้ถังเจ๋อจง (หลี่ซื่อ) ครองราชย์ พ.ศ. ๑๓๒๓ - ๑๓๔๘ บิดาชื่อ หลี่อี่เป็นเจ้าเมืองไห่โจว เป็นหลานของหลี่อุย ปลัดกรมราชประเพณีราชสำนักถัง ลื่อต่งปิน รูปร่างลักษณะเป็นคนกระหม่อมสูง หูยาว คิ้วยาว ตายาวเหมือนหงส์ มีไฝดำที่คิ้วซ้าย จมูกใหญ่กลม แก้มเป็นพวง ปากกว้าง คอยาวระหงสูงแปดฟุตกับสองนิ้ว มีความจำเป็นเลิศ เฉลียวฉลาด เป็นจินตกวี ตอนที่ถือกำเนิดกล่าวกันว่า มีนกกระเรียนเผือกบินหายเข้าไปในห้องฮูหยิน คือ ตงหัวจินหยินมาเกิด ลื่อต่งปินอายุได้ห้าขวบ หม่าโจ้วผู้วิเศษได้ทำนายว่าเด็กคนนี้เป็นมนุษย์พิเศษ ต่อเมื่อได้ไปถึงตำบลหลี่และพบคนสกุลจงหลี่ จึงจะได้เป็นเซียน ข้างลื่อต่งปินเมื่อเป็นจินตกวีก็ได้แต่เสพสุรา แต่งกลอนเอาอย่างกวีสมัยฮ่องเต้ หมิงจง (หลี่ซื่อหมิน)
เมื่อลื่อต่งปินเดินทางไปตำบลหลี่ ได้พบกับฮวยหลงจินหยิน จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนเวทมนตร์สามเดือนก็จบอาจารย์สอนว่า เวทมนตร์ที่สอนให้นั้นเอาไว้ป้องกันตัวเมื่อลื่อต่งปินเดินทางไปตำบลหลี่ ได้พบกับฮวยหลงจินหยิน จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนเวทมนตร์สามเดือนก็จบอาจารย์สอนว่า
เวทมนตร์ที่สอนให้นั้นเอาไว้ป้องกันตัวเผื่อมีภัยจนตรอก อย่าเอาไปทดลองความขลัง ถ้าหากพบคนที่มีความทุกข์ยากสาหัสสมควรช่วยเหลือก็จงช่วยเขาหากเห็นว่าไม่สมควรก็ให้วางเฉยเสีย ลื่อต่งปินจึงลาอาจารย์กลับไป เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไหวเชียงแถบแม่น้ำไหวชาวบ้านกำลังเดือดร้อนด้วยตัวมังกรยักษ์กำลังแผลงฤทธิ์ในน้ำใกล้จวนนายอำเภอ ทำให้เกิดลมน้ำกระฉอกสูง เรือที่สัญจรไปมาได้รับความเสียหาย ผู้คนต่างพากันเกรงกลัวมังกร และผู้คนยังได้โจษขานกันว่ามังกรแปลงเป็นคนหนุ่มหล่อหลอกลวงหญิงสาวเอาไปกิน ไม่มีใครปราบได้นายอำเภอจึงประกาศว่าหากใครปราบได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม ลื่อต่งปินจึงไปอาสาปราบมังกรยักษ์ ด้วยการเสกมีดกั้นหยั่นวิเศษขว้างลงไปในแม่น้ำฆ่ามังกรยักษ์ตาย ชาวบ้านต่างสรรเสริญแล้ววาดรูปลื่อต่งปินไว้บูชา
ต่อมาลื่อต่งปินเดินทางไปเมืองเย่เอี๋ยง ด้วยการปลอมเป็นพ่อค้าขายน้ำมัน ถ้าใครซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมก็จะอุปถัมภ์คนนั้น ปรากฎว่าขายไปเป็นปีมีคนขอแถมทั้งสิ้นจนวันหนึ่งมียายแก่คนหนึ่งเอาเปลือกไข่มาซื้อน้ำมันและไม่ขอแถม เขาจึงอุปถัมภ์ครอบครัวนี้ด้วยการเสกน้ำในบ่อให้เป็นสุราเอาไว้ขาย
วันหนึ่ง ลื่อต่งปินเข้าไปเสพสุราโรงเตี้ยมของนางซินชื่อทุกวันโดยไม่จ่ายเงิน นางก็ไม่ว่าอะไร เพราะสังเกตเห็นว่าลื่อต่งปินมิใช่คนธรรมดา บ่ายวันหนึ่งลื่อต่งปินบอกให้นางหาเปลือกส้มมาให้เขา แล้วจัดการเอาเปลือกส้มมาสกวาดรูปนกกระเรียนบนฝาผนังในร้าน เมื่อมีคนมาเสพสุราขอให้เรียกนกออกมาร่ายระบำ เมื่อมีคนมาเข้าร้านนางจึงทดลองเรียกดู ปรากฏว่านกกระเรียนออกมาจากผนังเต้นระบำเป็นที่ชอบอกชอบใจของแขกที่เข้าร้าน แล้วนกก็กลับเข้าไปสถิตในรูปตามเดิมครั้นกลับมาถึงบ้าน ลื่อต่งปินคิดอยากจะเป็นขุนนางด้วยเห็นว่าบรรดาเพื่อนฝูงต่างก็เป็นขุนนางกันทั้งนั้นจึงเข้าไปเมืองหลวงฉางอาน สอบไล่ได้ตำแหน่งจิ้นสือซึ่งขณะนั้นอายุได้ห้าสิบปีเศษแล้ว วันหนึ่งขณะที่เสพสุราในร้านแห่งหนึ่งในเมืองฉางอาน ได้พบฮั่นเจ็งลี้เขียนคำโคลงสามบทบนฝาผนัง ต่างได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชวนกันไปที่พัก ฮั่งเจ็งลี้
กำลังหุงข้าวอยู่นั้น ลื่อต่งปินหลับฝันไปว่าสอบได้จอหงวนมีภรรยาสองคน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี จนมีเรื่องต้องถูกถอดยศตำแหน่งถูกริบทรัพย์ บุตรภรรยาหายไปสิ้น ตนถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนทุรกันดารได้รับความลำบากก็ตกใจตื่นข้างฮั่งเจ็งลี้จึงเปรยขึ้นว่าตนหุงข้างยังไม่ทันสุก ฝันเสียเป็นเรื่องเป็นราวสุขทุกข์ปะปนกันไป แล้วจึงพูดว่า "การเป็นไปในโลก แม้ประสบแต่ความสุขก็ไม่น่ายินดี หากประสบความทุกข์ก็ไม่น่าเสียใจ”
เมื่อลื่อต่งปืนกลับถึงบ้านก็หมดอาลัยไม่อยากทำราชการอีกต่อไป ฝ่ายฮั่นเจ็งลี้เข้าฌาณเห็นสื่อต่งปีนเป็นดังนั้น จึงเหาะมาที่เมืองไห่โจว เพื่อทรมานลื่อต่งปีนด้วยปาฏิหาริย์ ๑๐ ประการ คือ ครั้งแรกบันดาลให้คนในบ้านเป็นไข้ทรพิษตายหมดทั้งบ้าน สื่อต่งปินเห็นว่าพวกเขาหมดอายุแค่นั้นจึงเอาไปจะฝัง แต่ทุกคนก็ฟื้นขึ้นมาครั้งที่ ๒ ลื่อต่งปินคุมพืชผักไปขายที่ตลาด คนซื้อได้ตกลงราคาเรียบร้อย แต่เวลาจ่ายเงินกลับจ่ายเพียงครึ่งเดียวเขาก็ไม่ว่าอะไร ครั้งที่ ๓ วันตรุษจีน หลังจากไปอวยพรบ้านญาติกลับถึงบ้าน เห็นขอทานยืนอยู่ที่ประตู จึงเข้าไปในบ้านเอาอาหารเสื้อผ้ามาให้ แต่ขอทานไม่พอใจแถมด่ว่าให้อีก แต่ลื่อต่งปินก็ไม่โกรธ ครั้งที่ ๔ เขาเดินทางเที่ยวไปในป่าเห็นเสือกำลังจะกัดแพะ จึงวิ่งเข้าไปขวางเสือกลับวิ่งหนี ครั้งที่ ๕ เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ที่กระท่อมใกล้ทางเดิน มีหญิงสาวสวยงามอายุ ๑๗ - ๑๘ ปี บอกว่ากลับจากเยี่ยมญาติ จะกลับบ้านสามีตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว ขอพักที่นี่สักคืน นางยั่วยวนเขาถึงสามคืนก็ไม่ยังเกิดผลจึงจากไปครั้งที่ ๖ เขาไม่อยู่ พวกโจรเข้าบ้านขโมยข้าวของเกือบหมดเขากลับมาเห็นก็ไม่เสียใจ ครั้งที่ ๗ เขาซื้อเครื่องทองเหลืองจากคนหาบของขาย เมื่อเอามาถึงบ้านปรากฏว่าของชิ้นนั้นเป็นทองคำ จึงสืบหาคนขายแล้วเอาไปคืนเจ้าของครั้งที่ ๘ เขาพบไต้ซือขายยาตามตลาดบอกว่า ใครซื้อยานี้กินเข้าตายแน่นอน เขาซื้อยาไปกิน ปรากฎว่าแข็งแรงดีครั้งที่ ๙ เกิดวาตภัยน้ำท่วมบ้านเรือน เขาก็ไม่วิตกทุกข์ร้อนครั้งที่ ๑๐ เห็นยักษ์หลายตนคุมนักโทษเข้ามาทวงชีวิตเขาเพื่อชดใช้กรรมในชาติก่อน ลื่อต่งปีนจึงเข้าไปหยิบมีดจะเชือดคอของตน ทันใดนั้นทุกอย่างก็หายไป กลับมีอาจารย์ฮั่งเจ็งลี้ปรากฏ แล้วชวนกันไปภูเขาสำนักฮั่นเจ็งลี้ลื่อต่งปินได้ถามถึงเชียนระดับต่าง ๆ ฮั่นเจ็งลี้ตอบว่า การบำเพ็ญเพียรของเซียนในหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปีของโลก
มนุษย์ การสำเร็จเป็นเซียนมีขั้นสูงและขั้นต่ำ แล้วแต่ขั้นฌานของแต่ละบุคคล เมื่อได้ขั้นใดก็เป็นเซียนชั้นนั้น ดังนี้
ชั้นที่ ๑ เขียนปีศาจ คือ พวกปีศาจทั้งหลายที่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน จนสำเร็จเป็นเซียน
ชั้นที่ ๒ เซียนมนุษย์ คือ พวกมนุษย์ที่บำเพ็ญญาณจนสำเร็จเป็นเซียน
ชั้นที่ ๓ เชียนปฐพี คือ มนุษย์ที่สำเร็จญาณชั้นสูงมีอายุยืนยาว ไม่ป่วยไข้ ไม่แก่เฒ่า
ชั้นที่ ๔ เซียนเทพารักษ์ คือ เซียนปฐพีที่สำเร็จในหน้าที่ จนมีแต่วิญญาณ ไม่มีรูปร่าง
ชั้นที่ ๕ เซียนสวรรค์เป็นเซียนชั้นสูงสุด ได้แก่ เชียนปีศาจ เขียนมนุษย์ เขียนปฐพี เชียนเทพารักษ์ที่สามารถสำเร็จชั้นสูงสุดแล้วจะเป็นเซียนสวรรค์
ลื่อต่งปินท่องเที่ยวไปยังเมืองฉางอาน พบนางโบตั๋นเป็นนางบำเรอ สื่อต่งปินจึงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยเสพสุขกับนางหลายวัน เกิดเกรงใจอาจารย์กลัวอาจารย์จะว่ายังลุ่มหลงเมามัวในกามจึงลานางไป ข้างอาจารย์แปลงร่างลงมาบอกความลับให้นางโบตั๋น เมื่อเขาย้อนกลับมาหานางอีกเสพสังวาสกับนาง นางจึงจี้รักแร้ ลื่อต่งปินจึงหมดกำลังนางจึงรู้ความจริง จากนั้นลื่อต่งปินย้อนกลับที่โรงเตี๊ยมของนางชินชื่อที่เสกนกกระเรียนกายสิทธิ์ให้เรียกลูกค้าจนนางมีฐานะร่ำรวย ซึ่งเขาได้ชดใช้ค่าค้างจ่ายเสพสุราอาหารเมื่อครั้งก่อนจนหมดแล้ว จึงเรียกนกกระเรียนออกมาขี่ไปถึงทะเลสาบท่งเถง พบเซียนและอาจารย์ต่างชวนกันไปเฝ้าไท่เสียงเหล่ากุงอาจารย์ใหญ่ที่เขาหัวซาน เพื่อรับการแต่งตั้งลื่อต่งปินเป็นเชียนองค์ที่ ๓ ลื่อต่งปินเป็นเซียนแห่งธุรกิจการค้าอุตสาหกรรม ปัญญาชน จินตกวี
โอวาท องค์ลื่อต่งปิน : ใช้ทุกข์ให้เป็นประโยชน์
ชีวิตข้างหน้าหากมีปัญญายั้งคิดไม่ต้องกลัวอะไร มีสติระลึกชอบอยู่เสมอทำสิ่งใดต้องกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ คนจะว่ายน้ำก็ต่อเมื่อยอมจมน้ำสัก 2-3 ครั้ง ถ้ายอมเจ็บยอมโง่นะ กลัวอะไรกับความทุกข์ ถ้ากล้าทุกข์กล้าเจ็บต่อไปทุกข์มารอรอบตัวก็สู้ไหว เพราะเริ่มจับทางออก ไม่จมน้ำสักหนจะ
รู้มั้ยว่าว่ายน้ำอย่างไร ลองทุกข์ดูแล้ว จับแนวทางให้ออก แล้วจะรู้ว่าทุกข์นั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แถมทำให้เราหลุดพ้นและพบความสุขด้วย ...
คัดย่อข้อมูลจาก หนังสือพิธีสถาปนาครบรอบ 60 ปี มูลนิธิสว่างเมตตาธรรมสถาน
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250