ฮั่นเจ็งลี้
( 漢鐘離 )
ฮั่นเจ็งลี้ (漢鐘離) เซียนแห่งโชคลาภ การบริการ การปกครอง
ฮั่นเจ็งลี้ เซียนแห่งโชคลาภ กล่าวกันว่า ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ตามจันทรคติจีน เป็นคนยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ระหว่าง พ.ศ. ๓๔๑ - ๕๓๕ ตอนที่ท่านถือกำเนิดปรากฏแสงสว่างจ้าขึ้นภายในบ้าน ลักษณะรูปร่างใหญ่ อ้วน หน้าผากกว้าง ขนคิ้วดกยาว จมูกใหญ่ ครบเจ็ดวันจึงร้องไห้ เมื่อเจริญวัยขึ้นเป็นคนเฉลียวฉลาดมีความจำแม่นยำ ชอบเรียนวิชาการต่อสู้ฝึกเพลงอาวุธได้คล่องแคล่วว่องไวหรือฝ่ายบู๊ เรียนวิชาตำราพิชัยสงครามได้อย่างลึกซึ้ง ได้เข้ารับราชการทหารที่เมืองฉางอาน
ถึงรัชสมัยฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี๋ (หลิงเฉอ) ครองราชย์ พ.ศ. ๔๐๓- ๔๕๖ แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ทรงปราบปรามชนเผ่าซวงหนูที่ชอบยกกองทัพมาตีเมืองหน้าด่านทางเหนือเป็นประจำ จึงทรงขับไล่ชนเผ่านี้โดยยกทัพไปถึงสามครั้งไล่ต้อนให้ถอยรุ่นขึ้นไปถึงตอนเหนือของมองโกเลีย ทำให้ชาวจีนฮั่นปลอดภัยจากการถูกรุกรานของพวกชนเผ่าซวงหนูเป็นเวลานาน การจัดกองทัพครั้งนั้น ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้โปรดๆ ให้ ฮั่นเจ็งลี้เป็นแม่ทัพ เขาจึงจัดเตรียมกองทัพแล้วยกออกจากเมืองหลวงฉางอานถึงเมืองกิโจวชายแดนชนกับกองทัพของชนเผ่าชวงหนู เกิดปะทะกันสองครั้งพวกทหารรี้พลล้มตายลงเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย แต่ฮั่นเจ็งลี้เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้งสองครั้ง
ฝ่ายลี้ทิก้วยขี่เมฆผ่านมาทางนั้นได้กลิ่นซากศพลอยฟุ้งขึ้นไปบนอากาศ จึงมองลงไปในสนามรบเห็นแม่ทัพราชวงศ์ฮั่นกำลังขับไพร่พลเข้าฆ่าฟันพวกทหารเผ่าซวงหนูตายเกลื่อน จึงรำลึกถึงคำสอนของไท้เสียงเหล่ากุงอาจารย์ใหญ่ว่า ศพเป็นหมื่นที่ทับถมกองกันอยู่ที่เมืองกิโจวนั้น เป็นด้วยเซียนบรรณารักษ์ห้องสมุดแห่งสวรรค์ ได้กระทำความผิดจึงถูกลงโทษให้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ชื่อ ฮั่นเจ็งลี้ เป็นแม่ทัพฮั่นกำลังสู้รบกันอยู่ เจ็งลี้มีความผิดเล็กน้อยไม่ถึงกับต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็คงจะมีเซียนองค์ใดองค์หนึ่งมาช่วยให้พ้นเวรกรรมเป็นเซียน จะได้กลับไปเป็นบรรณารักษ์เพื่อดูแลห้องสมุดบนสวรรค์ตามเดิม ลี้ทิก้วย รำพึงว่า “แม่ทัพนั้นเป็นของคนอื่นต่างหาก เจ็งลี้ไม่ใช่คนสามัญ ไม่ควรลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในลาภยศ เที่ยวรบราฆ่าฟันก่อเวรสร้างกรรมดุจดินพอกหางหมู เจ็งลี้จะได้เป็นเซียนในชาตินี้ ถ้าเราไม่ช่วยก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกช้านานจึงจะพ้นเป็นเซียน” เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงแปลงลงมาเป็นตนแก่ข้างกองทัพซวงหนู จึงแจ้งทหารขอเข้าพบนายพลปุดฮู้แล้วช่วงวางแผนการเอาชนะนายพลเจ็งลี้ให้จงได้ โดยแนะนำให้เข้าปล้นค่ายในขณะที่กองทัพของนายพลเจ็งลี้กำลังสนุกรื่นเริงกับการกินเลี้ยงที่ได้รับชัยชนะถึงสองครั้ง เมื่อได้เวลาจึงยกพลเข้าปล้นค่ายตีกองทัพเจ็งลี้แตกกระจายไปเพราะความประมาท ตัวเจ็งลี้เองต้องหนีระหกระเหินเข้าป่าเข้าดงข้ามภูเขาไปเพียงคนเดียว พบอาจารย์ไต้ซือ ชื่อ ตงฮั้วจิ้นหยิน ท่านพาเข้าไปในบ้านพักเลี้ยงอาหารแล้วกล่าวว่า “ลาภยศทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยงง ดุจเมฆเลื่อนลอยไปมา การสงครามร้ายแรงมีแต่รบราฆ่าฟันก่อกรรมสร้างเวรไม่รู้จักจบสิ้น ขอท่านจงคิดดู ตั้งแต่โบราณมาจนบัดนี้บ้านเมืองก็ไม่ใช่ของกษัตริย์พระองค์ดพระองค์หนึ่ง ลาภยศก็ไม่ใช่ของบุคคลสกุลเดียว ในไม่ช้าก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นของคนอื่น ไม่ต่างอะไรกับการนอนหลับฝันไปตื่นหนึ่ง” ทำให้เจ็งลี้ได้คิดใคร่ครวญตามคำพูดของไต้ซือว่าเป็นจริงทุกอย่าง ไม่ควรที่เราจะคิดหมกมุ่นลุ่มหลงอยู่ต่อไป
ครั้นรุ่งเช้าเจ็งลี้จึงขอเป็นศิษย์รับคำสั่งสอนจากไต้ซือ บำเพ็ญเพียรเรียนเวทมนตร์ พร้อมรับของวิเศษชิ้นหนึ่งคือมีดกั้นหยั่น แล้วกราบลาอาจารย์เดินทางไปยังเมืองฮันตงที่บ้านตน เมื่อกลับเข้าไปถึงบ้านปรากฎว่าทุกคนแต่งกายไว้ทุกข์เพราะทราบข่าวว่าตนได้ตายในการสงครามครั้งนี้แล้ว เจ็ง
ลี้คิดว่า ตนแพ้สงครามหลบหนีกองทัพในฐานะที่เป็นแม่ทัพต้องถูกประหารชีวิตสถานเดียวตามกฎอัยการศึก จึงให้ครอบครัวปิดเป็นความลับแล้วปรึกษากับพี่ชายจงหลี่ก้วง เพื่อออกธุดงค์บำเพ็ญพรต พี่ชายก็เห็นด้วยต่างลาครอบครัวเป็นนักบวช ไต้ซือแล้วออกเดินทางเข้าป่าแสวงหาความวิเวก เมื่อเดินทางไปถึงตำบลหนึ่งได้ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการปราบเสือกินคนด้วยมีดกั้นหยั่นกายสิทธิ์เล่มนั้น เมื่อเดินทางถึงป่ายอดเขาแห่งหนึ่งพิจารณาเห็นภูมิฐานเหมาะที่จะตั้งสำนักบำเพ็ญพรต จึงได้ก่อสร้างอาคารโรงเจขึ้น เมื่อจงหลี่ก้วงออกเดินทางเข้าไปในตำบลบ้านเห็นผู้คนยากจนแสนเข็ญ จึงปรึกษากับฮั่นเจ็งลี้ให้ความช่วยเหลือ อั้นเจ็งลี้จึงใช้มนต์เสกเป็นทองเอาไปช่วยคนยากจน
วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองพี่น้องนั่งสมาธิเข้าฌาน ก็ได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะล่องลอยมาจากสวรรค์ แล้วปรากฏเป็นเขียนลี้ทิก้วยเข้ามาทักทาย ต่างคารวะกันแล้วลี้ทิก้วยกล่าวว่า ไท่เสียงเหล่ากุงเจ้าสำนักเซียนให้มารับไปเข้าเฝ้าทั้งสองจึงขี่เมฆไปถึงเขาหัวซาน เข้าเฝ้าไท่เสียงเหล่ากุงและได้รับแต่งตั้งให้เป็นเขียน ฮั่นเจ็งหลีเป็นองค์ที่ 2 ในคณะแปดเซียน ได้รับฉายาว่า หยุนฝาง ท่านได้รับคำสั่งจากองค์อวี้หวงชั่งตี้หรือเง็กเซียนฮ่องเต้เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพเจ้าฝ่ายข้ายของหอสวรรค์อันสูงสุด ต่อมาเมื่อฮั่นเจ็งลี้เข้าฌานเห็นว่าจงหลีก้วงมีญาณตะบะชั้นสูงถึงขั้นเขียนแล้วจึงขี่เมฆมารับไปอยู่ยังสำนักเดียวกัน กล่าวกันว่าในช่วงที่ฮั่นเจ็งลี้สอนลัทธิเต๋า ท่านมักจะมัดมวยผมเป็นสองปอยถือพัดขนนกอันใหญ่ นั่งพุงพลุ้ย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นผู้วิเศษที่มีความอิสระ น่าเคารพนับถือ เป็นเซียนแห่งโชคลาภ การบริหารกิจการและการปกครอง
โอวาท องค์ฮั่นเจ็งลี้ : กรรมและบุญเป็นของคู่กัน ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง ใครยังสุขภาพแข็งแรงก็นับว่าโชคดีอยู่ หากวันนี้ใครเจ็บออดๆ แอดๆ ทุกวัน ควรหมั่นสร้างแต่กรรมดี ทำดี เรื่องบุญเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น แต่พึงรู้ไว้ว่า ชีวิตนี้ชาตินี้กุศลสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง ประเสริฐได้ด้วยน้ำมือเราเอง...
คัดย่อข้อมูลจาก : หนังสือพิธีสถาปนาครบรอบ ๖๐ ปี มูลนิธิสว่างเมตตาธรรมสถาน
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250