ฮั่นเชียงจื้อ ( 韩湘子 ) เซียนพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี
ฮั่นเซียงจื้อ เซียนพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรีฮั่นเชียงจื้อชื่อตนว่า เสียง แซ่ฮั่น ชื่อแบบฉบับเฉพาะของตนเองว่า ชิงฝู ฮั่นเซียงจื้อถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๙ ค่ำเดือน ๑๑ ตามจันทรคติจีน ณ เมืองหลวงฉางอาน รัชสมัยฮ่องเต้ถังเต๋อจง พ.ศ. ๑๓๒๓ - ๑๓๔๕ แห่งราชวงศ์ถังฮั่นเชียงจื้อเป็นหลานของหันอวี้ ปลัดกรมราชประเพณีแห่งราชสำนักถัง ในขณะที่ฮั่นเชียงจื้ออายุยังน้อยเพิ่งเป็นหนุ่มแต่เป็นคนมักน้อย ชอบนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งหน้าที่ราชการในการเป็นขุนนางอย่างตระกูลแช่หัน ทำให้ลุงหันอวี้ไม่ค่อยพอใจในพฤติกรรมของหลานชายหนุ่มน้อยคนนี้ ที่ประพฤติผิดแปลกไปจากญาติพี่น้องของตนที่ทำราชการมียศถาบรรดาศักดิ์ทั้งสิ้น ซึ่งลุงต้องการให้เขาเรียนวิชาทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น แต่นี่กลับไปนั่งสมาธิเสีย เชียงจื้อเคยตอบลุงเขาไปว่า อุปนิสัยใจคอของคนเราต่างกัน มีความชอบไม่เหมือนกันแล้วจะให้ประพฤติเหมือนกันได้อย่างไร ทำให้ลุงของเขาเคืองมาก
วันหนึ่งเชียงจื้อเดินทางท่องเที่ยวไปแสงหาอาจารย์เพื่อเรียนวิชาการบำเพ็ญพรต เขาได้พบกับลื่อต่งปินจึงได้สมัครเป็นศิษย์และศึกษาเวทมนตร์
การบำเพ็ญเพียรจากสื่อต่งปินจนคล่อง กล่าวกันว่าขณะที่เขาเดินป่าเห็นลูกท้อผลโตกำลังสุกน่ากิน เขาจึงปีนขึ้นไปจะเก็บลูกท้อนั้น บังเอิญกิ่งต้นท้อหักลงมาทั้งคนทั้งกิ่งทับร่างเชียงซื้อ ปรากฎว่าร่างมนุษย์หายไปกลายเป็นร่างเซียน ฮั่นเซียงจื้อจึงเป็นเซียนตั้งแต่วันนั้นฮั่นเชียงจื้อจึงเดินทางกลับไปบ้านเพื่อเยี่ยมลุง และตั้งใจไว้ว่าจะปรับชีวิตจิตใจลุงของตนให้สำเร็จเป็นเขียนให้ได้ บังเอิญในปีนั้นฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ราษฎรเดือดร้อนกันทั่ว ฮ่องเต้จึงโปรดเกล้าฯ ให้หันอวี้ประกอบพิธีขอฝน หันอวี้ตั้งโรงพิธีขึ้นทำการบวงสรวงเทพยดาเพื่อขอให้ฝนตกหลายครั้ง แต่ฝนก็ยังไม่มีเค้าว่าจะตก ทำให้ฮ่องเต้พิโรธ กำลังจะปลดออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว เซียงจื้อจึงแปลงร่างเป็นไต้ซือถือป้ายข้อความเดินมาหาหันอวี้ ข้างหันอวี้เห็นไต้ซือมาหาจึงขอให้ช่วยประกอบพิธีขอให้ฝนตกด้วย เพราะตนสุดวิสัยแล้ว ข้างไต้ซือปลอมจึงตอบตกลงประกอบพิธีเพียงเวลาเล็กน้อยฝนก็ตกลงมาทั่วฟ้า แต่หันอวี้กล่าวว่าที่ฝนตกลงมามากมายเช่นนี้เป็นการบวงสรวงของตนต่างหากหาใช่ฝีมือของไต้ซือไม่ ข้างต้ชื่อจึงว่าฝนที่ตกลงมานี้ซึมลึกลงไปใต้พื้นดินถึง ๓ ฟุต ๓ นิ้ว หันอวี้จึงให้พนักงานขุดลงไปดูแล้ววัดตามที่ไต้ซือบอกปรากฏว่าเป็นจริง หันอวี้จี๋งเชื่อถือไต้ซือปลอม
วันหนึ่งหันอวี้ได้จัดงานเลี้ยงคล้ายวันเกิดของตนที่บ้านเชิญแขกพวกขุนนางเพื่อนฝูงมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่แขกกำลังเสพสุราอาหารอยู่นั้น ฮั่นเชียงจื้อก็เดินเข้าไปในบ้านหันอวี้เห็นหน้าก็เกิดความแค้นขึ้นมาที่ตนเคยสั่งให้ไปเรียนหนังสือแล้วไม่เชื่อฟัง แล้วกลับหายหน้าไปหลายปีจึงอยากทดสอบหลานชายว่า ที่หายไปนั้นได้ความรู้อะไรมาบ้าง จึงให้แต่งคำฉันท์ขึ้นมาบทหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดของคนแต่งว่าฉลาดโง่เขลาสักปานใด ข้างเซียงจื้อจึงแต่งโอ้อวดว่าตนมีวิชาอาคมอิทธิฤทธิ์ ต้องการสิ่งใดก็ร่ายมนตร์มาได้ทั้งสิ้น หันอวี้จึงอนุญาตให้เซียงจื้อแสดงอิทธิฤทธิ์ตามที่ตนต้องการ เซียงจื้อจึงเอาไหสุราเปล่ามาวางไว้บนโต๊ะท่ามกลางงานเลี้ยง แล้วเอาจานทองคำปิดปากไหสุราร่ายมนตร์แล้วเปิดฝาไห ปรากฏว่ามีสุราอย่างดีเต็มไห จากนั้นเอากระถางต้นไม้มาใส่ดินวางบนโต๊ะแล้วเอาน้ำรดลงไปทันใดนั้นต้นไม้ก็งอกสูงขึ้นเป็นต้นโบตั๋นออกดอกชูซ่อเป็นสีเขียวแก่ ที่กลีบใบมีอักษรสีทอง ๑๔ ตัว เป็นปริศนาคำฉันท์ ๒ บาท แต่หันอวี้อ่านแล้วไม่รู้ความหมาย ข้อความกล่าวว่า "เมื่อเมฆมืด
มิดปิดภูเขาและหนทาง จนถึงด่านหนาน หิมะปกคลุมตัวม้า" ฮั่นเซียงซื้อกล่าวว่า นิมิตที่ปรากฎนี้เมื่อถึงเวลาก็รู้เอง บรรดาแขกที่มาในงานก็เห็นด้วย จากนั้นฮั่นเชียงจื้อจึงลาลุงท่องเที่ยวไปตามป่าเขาตามวิสัยเขียน
ล่วงถึงปีเจวี่ยนเหอที่ ๑๔ รัชสมัยฮ่องเต้ถังเวียนจง พ.ศ. ๑๓๖๒ ด้วยข่าวว่า พระเจดีย์เมืองหงสาวดีมีพระพุทธหัตถธาตุ เมื่อครบ ๑๐ ปีจึงเปิดให้ราษฎรนมัสการครั้งหนึ่งถ้าปีใดเปิดเจดีย์แล้วฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมดีพระองค์จึงทรงมีพระราชสาสน์แต่งทูตไปยังประเทศพม่าเพื่อยืมพระพุทธหัตถธาตุมาสักการบูชาที่พระราชวังและหมุนเวียนไปตามวัดต่างๆ จนครบกำหนดแล้วจึงคืน ข้างหันอวี้ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า ไม่สมควรที่จะเอากระดูกนิ้วมือของพระพุทธเจ้ามาบูชา ควรเอาไปเผาหรือทิ้งลงแม่น้ำเสียเพื่อตัดความเคารพเชื่อถือของราษฎรที่กำลังหันเหจากลัทธิเต๋าไปสู่ศาสนาพุทธ พระองค์กริ้วมากรับสั่งให้ลงอาญาอย่างหนัก แต่พวกขุนนางที่เฝ้าแหนต่างกราบทูลขออภัยโทษแทน ด้วยเห็นว่าหันอวี้เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ พระองค์จึงลดโทษโดนเนรเทศให้ไปอยู่เมืองทุรกันดารห่างไกลเมืองหลวง คือเมืองเขียวเอี๋ยง แขวงกว่างตง (ปัจจุบันคือเมือง กุ้ยเอี๋ยง หรือ กุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว)
ในขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวหิมะปกคลุมไปทั่ว หันอวี้ออกเดินทางจากเมืองฉางอาน ต้องขี่ม้าลุยหิมะไปในขณะที่ตนก็อายุมากแล้ว ทั้งม้าทั้งคนต่างอิดโรยหิวโหยหมดแรงด้วยหิมะตกหนักหนามาก จนม้าหมดกำลังลงไม่สามารถจะเดินต่อไปได้ กำลังจะจมลงไปในกองหิมะเช่นเดียวกับคนขี่ข้างเซียงจื้อได้ไปคอยรับอยู่ก่อนแล้ว จึงตรงเข้าไปคารวะลุงหันอวี้ แล้วถามลุงว่ายังจำปริศนาคำฉันท์สองบทนั้นได้หรือไม่ ลุงจึงถามว่าที่นี่เป็นตำบลอะไร เชียงจื้อตอบว่าที่นี่ คือ ด่านหนาน หันอวี้จึงว่า "เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายของคนทั้งปวงพระเจ้าบนสวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว ใครเลยจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ หากว่ากรรมตามทันก็ประสบผลร้าย ถ้าหากบุญส่งเสริมก็จะประสบแต่ผลดี เป็นธรรมดาดุจเงาตามตัว" แล้วเชียงจื้อจึงพาหันอขี้เข้าไปในเมืองตำบลด่านหนาน เขาเอายาวิเศษให้ลุงกินหนึ่งเม็ดเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย
และแข็งแรงดี สามารถเดินทางไปได้อีกยาวไกลพร้อมกับกล่าวต่อไปว่า อีกไม่นานจะได้กลับไปเมืองหลวงแน่นอน ว่าแล้วฮั่นเซียงซื้อก็ลาลุงกลับไป ต่อมาคณะเซียนได้ไปรับฮั่งเซียงจื้อ พาไปยังเขาหัวซานเพื่อคาราวะไท่เสียงเหล่ากุงเจ้าสำนักเซียน เพื่อรับการแต่งตั้งเป็นเซียนองค์ที่ ๗ ในนาม ฮั่นเซียงจื้อ เป็นเขียนแห่งการพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี
โอวาท องค์ฮั่นเซียงจื้อ : เบียดเบียนสัตว์คือการสร้างกรรม
ถ้าละเว้นการทำร้ายสัตว์ได้ก็จงละเว้นสรรพสัตว์ต่างรักชีวิต ชีวิตบั้นปลายของคนเราก็เช่นกัน คงไม่มีใครอยากจบลงด้วยการถูกฆ่า สังคมทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไปคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและจิตใจที่เมตตา ควรพลิกฟื้นจิตใจเมตตาให้เกิดขึ้น และนำมวลชนเดินสู่หนทางธรรม นี่คือหลักใหญ่ในการศึกษาหลักธรรม ปลุกจิตสำนึกอันดีงามให้กลับคืนมาเป็นคนที่สมบูรณ์ และเดินไปสู่หนทางถูกต้อง
คัดย่อข้อมูลจาก : หนังสือพิธีสถาปนาครบรอบ ๖๐ ปี มูลนิธิสว่างเมตตาธรรมสถาน
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250