( 曹国舅 )
เฉ่าก๊กกู๋ ( 曹国舅 ) เซียนแห่งยศถาบรรดาศักดิ์
เฉ่าก๊กกู๋ เซียนแห่งยศถาบรรดาศักดิ์ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ตามจันทรคติจีน พื้นเพเดิมเป็นคนชาวอำเภอชู มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ จ้าวชื่อมีน้องชายชื่อ จิงซื่อ จ้าวซื่อได้เป็นพระนางฮองเฮาหรือพระมเหสีในฮ่องเต้ซ่ง จ้าวเจิน เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พ.ศ. ๑๕๖๖ - ๑๖๐๖ แห่งราชวงศ์ซ่งเหนือเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองตงจิง หรือเมืองไคเฟิง หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้วพระราชินีจ้าวซื่อ ได้เป็น พระนางฮองไทเฮา พระมหาอุปราชเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ซ่งอิงจง (จ้าวสู่) เฉ่าก๊กกู๋จึงเป็นเชื้อพระวงศ์แช่จ้าวแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือในฐานะพระอนุชาฮองเฮา จึงเป็นเฉาก๊กกู๋อ๋อง รวมทั้งจ้าวจิงชื่ออ๋องด้วย ข้างจ้าวจิงซื่ออ๋องถือตนว่าเป็นน้องชายฮองเฮาเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่เจียมตนประพฤติแต่สิ่งเลวทรามเป็นอันธพาลฆ่าคนตาย เป็นนักเลงใหญ่รังแกคนในเมืองหลวงโดยไม่เกรงกลัวผู้ใดและไม่เกรงใจชาวบ้าน ชอบข่มเหงน้ำใจราษฎร สร้างความเดือดร้อนมาให้ญาติพี่น้องเป็นประจำทำให้ญาติพี่น้องได้รับคำติฉินนินทาไปทั่วเมืองหลวงเขาฉ้อโกงที่ดินของชาวบ้านเพื่อนำมาเป็นของตน ข่มเหงน้ำใจชาวบ้านด้วยการหาหญิงสาวมาบำเรอตน พอเบื่อก็นำเข้าไปบริการที่โรงเตี้ยมไว้รับแขก
พวกอันธพาลใหญ่น้อยต่างเข้ามาสมัครเป็นลูกน้องประจบสอพลอยุยง หากเรื่องใดถึงโรงถึงศาลก็วิ่งกลบเรื่องเดินเหินจนเรื่องนั้นหายไป หรือบางเรื่องศาลก็ไม่รับฟ้องเพราะเกรงกลัวอำนาจของพระนางฮองไทเฮาและเฉาก๊กกู๋อ๋องพี่ชาย
ฝ่ายเฉ่าก๊กกู๋รำพึงว่าครอบครัวญาติพี่น้องของตนต่างอยู่ดีมีความสุขกันถ้วนหน้ากันตอนนี้ก็เพราะพี่สาวได้เป็นพระราชินีมีอำนาจล้นฟ้า คงเป็นบุญวาสนาของพวกตนที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษที่ได้สร้างแต่กุศลผลบุญเป็นลำดับมาหลายชั่วอายุคน จนถึงรุ่นของพวกตนที่พี่สาวยังมีบุญวาสนาสูงส่ง ต่างมียศฐานันดรศักดิ์เสวยสุขกันจึงสมควรที่จะต้องตั้งใจรับราชการด้วยความซื่อสัตย์กตัญญูต่อแผ่นดินและบรรพบุรุษสนองพระเดชพระคุณราชวงศ์ซ่งควรแล้วหรือที่จ้าวจิงซื่ออ๋องกลับมาทำความชั่วช้าเลวทรามข่มเหงราษฎรยังไม่เห็นเงาหัวของตนเอง ซึ่งตนได้ตักเตือนสั่งสอนน้องชายคนนี้มาตลอด แต่เขากำลังมัวเมาลุ่มหลงในยศศักดิ์ทำการข่มเหงราษฎรฉ้อราษฎร์บังหลวง มีหรือที่เขาจะเชื่อฟัง กลับมาโกรธเขาเสียอีก เฉ่าก๊กกู๋ยังรำพึงต่อไปว่า ถ้าหากชาตินี้เคราะห์กรรมยังมาไม่ถึง บรรดาญาติสกุลของตนในชาตินี้ เป็นโชคดีมหาศาลที่ต่างยังเสวยสุขถึงแม้น้องชายของตนยังไม่ประสบเคราะห์ร้ายในชาตินี้ก็ต้องไปชดใช้กรรมในชาติหน้าแน่นอน คนในเมืองหลวงเข้าใจว่าตนรู้เห็นเป็นใจและสนับสนุนน้องให้ทำชั่วเช่นนี้
เมื่อเฉ่าก๊กกู๋อิ่มซึ่งลาภยศฐานันดรศักดิ์สรรเสริญรู้บาปบุญคุณโทษ ไม่หลงเมามัวไปกับสิ่งเหล่านั้น จึงเริ่มปล่อยวางหน้าที่การงานทั้งปวง หันไปถือศีลกินเจบำเพ็ญกุศล เอาเงินทองของตนไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากจนทั่วไปแล้วสั่งสอนบุตรหลานภรรยาและร่ำลาญาติมิตร แต่งตนเป็นไต้ชื่อเต้าหยินออกเดินทางไปตามป่าเขาเพื่อแสวงหาความวิเวก จนไปพบถ้ำแห่งหนึ่งเหมาะที่จะทำความเพียรจึงได้ปักหลักอยู่ในที่นั้นหลายปี จนบรรลุสำเร็จเป็นเซียน
จนวันหนึ่งฮั่งเจ็งลี้ได้รับบัญชาให้ไปรับเฉ่าก๊กกู๋มายังเขาหัวซาน ฮั่นเจ็งลี้
พร้อมด้วยสื่อต่งปินจึงขี่เมฆไปยังสำนักของเฉ่าก็กกู๋ถึงโรงเจ ก็เข้าไปสนทนากับเฉ่าก๊กกู๋ แล้วถามว่า "ท่านทำความเพียรไปเพื่อประโยชน์อันใด" เฉ่าก๊กกู๋ตอบว่า "สิ่งทั้งหลายไม่ต้องการ แต่ต้องการญาณตะบะ" แล้วถามต่อว่า "อันความจริงแท้นั้นอยู่ ณ ที่ใด" เฉ่าก๊กกูชี้ขึ้นสวรรค์ "แล้วสวรรค์อยู่ที่ไหนกัน" เฉ่ากักกูชี้มาที่หัวใจตน ฮั่นเจ็งลี้จึงหัวเราะแล้วว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจคือตะบะตะบะนั่นแหละใจ" แล้วต่างก็ชวนกันไปเฝ้าไท่เสียงเหล่ากุงเจ้าสำนักใหญ่ที่เขาหัวซาน
ในที่สุดคณะโป๊ยเซียนก็ครบองค์ ได้เฉ่าก๊กกู๋เป็นเชียนองค์ที่ ๘ คณะเชียนได้ประชุมพร้อมกันที่เขาหัวซานอวนคูเซียนจึงว่า กว่าคณะแปดเซียนจะครบองค์ซึ่งเริ่มตั้งแต่เชียนองค์แรกครั้งกระโน้นคือ ลี้ทิก้วย จนถึงองค์ที่ ๘ คือเฉ่าก๊กกู๋ เป็นเวลากว่าพันปีในโลกมนุษย์ แต่ถ้าคิดเป็นเวลาในโลกของเซียนก็ไม่นานนัก เมื่อเซียนทุกองค์ครบจึงเข้าไปเฝ้าองค์ไท่เสียงเหล่ากุง พระอาจารย์ใหญ่ ไท่เสียงเหล่ากุงจึงว่า "การที่เฉาก๊กกูสละลาภยศฐานันดรศักดิ์แห่งโลกมนุษย์ ตั้งตนบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอุตสาทะเป็นอย่างสูงจนสำเร็จญาณขั้นสูงสุดเป็นที่น่ายินดียิ่งนัก ควรยกย่องให้เฉาก๊กกู๋เป็นเชียนองค์ที่ ๘ ในคณะโป๊ยเซียน" หลังจากนั้นเซียนแต่ละองค์ต่างลาเจ้าสำนักขี่เมฆเหาะกลับไปยังสำนักของแต่ละองค์
โอวาท องค์เฉ่าก๊กกู๋ : โลภ โกรธ หลง ให้เป็น
โกรธที่ตัวเองไม่ดีพอ ไม่ใช่โกรธที่เขาไม่ดี เกลียดที่ตัวเองไม่ดี ไปรักคนที่เขาไม่ได้ดีสักทีเขาไม่ดีเราต้องเห็นใจ อย่าไปโกรธที่เขาไม่ดี แต่จงโกรธ
ตัวเราเองที่อยู่กับเขาแล้วเขาดีไม่ได้ นี่คือรัก โลภ โกรธ หลงที่ถูกต้อง จงรักอย่างที่ควรจะรัก แล้วรักนั้นจะนำพาสุขมาให้เกิดกับใจเราและใจเขา จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เมตตาให้มากๆ และใจกว้าง...
คัดย่อข้อมูลจาก : หนังสือพิธีสถาปนาครบรอบ ๖๐ ปี มูลนิธิสว่างเมตตาธรรมสถาน
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250