ไท้เสียงเหล่ากุง (ไท้ซังเหล่าจวิน :จีนกลาง) เจ้าสำนักศาสดาเต๋า อาจารย์ของเหล่าโป๊ยเซียนนั้น เดิมแซ่ลี้ ชื่อยื้อ มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์โจว (เมื่อประมาณ 4 พันกว่าปีก่อน) เกิดที่หมู่บ้านล่าย อำเภอขู่ แคว้นฉู่ หรือ เล่าจื้อ เป็นศาสดาของศาสนาเต๋า ซึ่งได้หล่อหลอมวิถีแห่งชีวิตและ
อัธยาศัยชาวจีนกว่า 2000 ปีมาแล้ว ซึ่งตามประวัติแล้ว องค์ไท้เสียงเหล่ากุง เป็นเทพเบื้องบนลงมาจุติ โดยมารดาของท่านนั้น ตอนอายุ 19 ปี ได้ไปวิ่งเล่นในสวนเห็นผลลี้เข้า จึงเด็ดลงมารับประทาน หลังจากนั้นท่านก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาองค์ไท้เสียงเหล่ากุง อยู่ในครรภ์มารดาของท่านถึง 81 ปี ซึ่งในระหว่างนั้น ท่านสามารถพูดจาสื่อสารโต้ตอบกับมารดาได้ ตลอด มารดาท่านเองก็ถามท่านว่า “ทำไมถึงไม่ยอมออกมาซักที” ท่านก็ตอบไปว่า หากท่านออกมา มารดาจะต้องเสีย ชีวิตเป็นแน่แท้ ถึงกระนั้นมารดาของท่านก็ยืนกรานให้ท่านออกมา หากมารดาจะต้องเสียชีวิต มารดาก็ยอม องค์ไท้เสียง เหล่ากุง จึงได้ตกฟากออกมาทางใต้รักแร้ซ้ายของมารดา เป็นคนที่มีผมขาวโพลนทั้งศีรษะ และได้ชื่อว่า “เหลาจื้อ” ซึ่ง แปลว่า คนแก่เฒ่า
นานมาแล้ว เมื่อท่านเล่าจื้อเกิดความเบื่อหน่ายในราชการบ้านเมือง ที่เหล่าเจ้าแคว้นล้วนปรารถนาที่จะเป็นเอกกว่าทุกแคว้น ขณะที่เหล่าข้าราชสำนักทุจริต วิ่งเต้นหวังอำนาจวาสนา เหล่าประชาถูกกดขี่อย่างไร้การโต้แย้ง แม้เล่าจื้อเคยทัดทานหลายครั้ง แต่มันก็เหมือนเศษธุลี หามีผู้ใดสำเหนียก หลายคนมุ่งนึกถึงแต่ตัวเอง ส่วนเจ้าแคว้นปรารถนาให้ตนยืนยงตราบชั่วดินฟ้า มุ่งแสวงหาแต่ความเป็นอมตะ คุณธรรมถูกละเลย และจะอยู่ไปใยสู้เดินทางไปในที่ๆ แสนไกลกับเพื่อนรู้ใจสักคน จิบชาเขียนภาพขับลำนำ แสวงหาจุดหมายที่สุขแห่งชีวิต อีกทั้งหากมีแคว้นใดเจ้าแคว้นมีคุณธรรมรักราษฎร์ ที่นั้นเล่าจื้อจะได้นำความคิดที่สั่งสมมาถ่ายทอดให้ อย่างน้อยวาจายังมีค่ากับคนฟัง
ครั้งนั้นว่ากันว่า เล่าจื้อขี่กระบือเขียวผ่านด่านฮ่ำก๊กกวง มุ่งหน้าออกนอกด่านตะวันตก จุดหมายหนึ่งเพื่อจะเผยแผ่หลักปรัชญาที่สั่งสมมา เพื่อเสาะหาอาณาจักรที่แสนไกลในที่ราบสูงธิเบตมองโกล และที่ด่านแห่งนี้ท่านเล่าจื้อได้ถ่ายทอด “เต๋าเต็กเก็ง” เป็นอักษรห้าพันคำให้นายด่านนาม “อีฮี้” และอีกจุดมุ่งหมายคือดินแดนชมพูทวีป ที่ว่ากันว่าเป็นดินแดนแห่งผู้รู้ นักปราชญ์นักคิดและแสวงหาความหลุดพ้นกระบือนี้เดิมมีสีเขียวนามว่า “แชวู้” แม้มีความมานะอดทนแต่ก็มีความคิดเป็นของตัวเองสูง จนบางครั้งหลายคนว่ามันโคตรดื้อ บ้างก็ว่าโคตรโง่ การที่เล่าจื้อขี่กระบือเขียวท่อง
เที่ยวไปพร่ำบ่นหลักปรัชญา ล้วนซึมซับหลักการไปไม่มากก็น้อย และดูจะเป็นผู้เดียวที่เข้าใจหลักการของเล่าจื้อมากที่สุดยิ่งกว่าศิษย์ที่เป็นมนุษย์ อีกทั้ง “แชวู้” แม้ขี้บ่นแต่ไม่เคยทำให้ลำบากใจเลยไปไหนไปกัน แต่ “แชวู้” แม้หล่อเหลากว่ากระบือทั้งปวง แต่ว่ากันว่าเธอมีเขาเดียว บ้างก็ว่าเธอดื้อมีกำลังมากสร้างความเดือดร้อนในโลกมนุษย์และสวรรค์ ทำให้เล่าจื้อต้องกำราบโดยตัดเขาออกหนึ่งข้าง ทำให้ “แชวู้” เชื่องและเป็นพาหนะของเล่าจื้อ แต่แท้จริงแล้วเล่าจื้อแรกพบ “แชวู้” ก็มีเขาเจริญเพียงข้างเดียวนับว่าแปลกมาก อีกทั้ง “แชวู้” เฉลียวฉลาดมาก เล่าจื้อเพ่งด้วยฌานทราบว่า “แชวู้” เป็นบริวารที่ติดตามมานานแล้ว และมีวาสนาที่ซึมซับหลักปรัชญาแห่งเล่าจื้อไม่มีสอง ดังนั้นภพชาตินี้ที่ติดตามมาเป็นเพื่อนผู้รู้ใจ และฝักใฝ่เล่าจื้อเป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าบนฟ้าหรือใต้ฟ้า
แม้ว่าเรามีวาสนาได้พบพานองค์ไท้เสียงเล่ากุงแล้ว จะไม่มีครั้งใดที่จะไม่พบพานกระบือเขียวรูปงามท่านนี้ และท่านดูจะพอใจในความเป็นกระบือเขียวรูปงาม มากกว่าจะทำให้เราพบในสภาพอื่น แสดงถึงความแน่วแน่เป็นหนึ่งไม่มีสองซึ่งดีกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เปลี่ยนสีกายโดยฉับพลันอย่างไม่ละอาย เดี๋ยวเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีความอดทนไร้ซึ่งยางอายุ
แหล่งที่มา : https://waijao.wordpress.com/2012/01/06/61/
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250