ในพุทธุปบาทกาลนี้ ภิกษุ 4 รูปเหล่านี้ คือ ปุกกุสาติ สภิยะ พาหิยะ กุมารกัสสปะ ได้มาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้ และท่านพระทัพพมัลลบุตรเถระมาบังเกิดในราชสกุลมัลละพระองค์หนึ่งในอนุปิยนครมัลลรัฐ ในเวลาใกล้คลอด พระมารดาของท่าน ได้ทิวงคต คนทั้งหลายจึงยกร่างของพระนาง ขึ้นวางบนจิตกาธาน แล้วทำการฌาปนกิจ พอไฟสงบลงแล้ว พื้นท้องของนางนั้น ก็แยกออกเป็น 2 ส่วน มีทารกกระเด็นขึ้นไปตกที่เสาไม้ต้นหนึ่ง ด้วยกำลังบุญของตน คนทั้งหลายอุ้มทารกนั้น ไปให้แก่ย่าท่านเลี้ยง ท่านย่านั้น เมื่อจะตั้งชื่อทารกนั้น จึงตั้งชื่อของท่านว่า ทัพพะ เพราะท่านกระเด็นไปที่เสาไม้จึงรอดชีวิต และท่านมีสร้อยชื่อ“มัลลบุตร”เพราะเกิดในราชสกุลมัลละท่านจึงมีชื่อเต็มว่า ทัพพมัลลบุตร ทัพพมัลลบุตรราชกุมารนั้น นับแต่วันประสูติมามีพระชนม์ได้ 7 ปี เห็นพระศาสดา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จจาริกไปในมัลลรัฐ ได้เข้าไปหาเสด็จย่า ทูลอ้อนวอน ขออนุญาตบรรพชาในพระพุทธศาสนา เสด็จย่าของท่านจึงนำท่านไปเฝ้าพระศาสดา แล้วกราบทูลขอ บรรพชาเป็นสามเณรจากพระศาสดา พระศาสดาทรงประทานอนุญาตให้พระเถระรูปหนึ่ง ทำการบรรพชาให้ทารกนั้น พระเถระนั้น รับพระพุทธดำรัสแล้ว ก็ให้ทัพพกุมารบรรพชา บอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน (กัมมัฏฐานมีหนังเป็นที่ห้า กล่าวคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ)
ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผลขณะที่จรดมีดโกนลงบนศีรษะครั้งแรก เมื่อจรดมีดโกนครั้งที่ 2 ท่านบรรลุสกทาคามิผล เมื่อจรดมีดโกนครั้งที่3ท่านก็บรรลุอนาคามิผลพอปลงผมเสร็จท่านก็ได้บรรลุอรหัตตผล ท่านเป็นผู้เอาใจใส่ในกิจของสงฆ์เป็นอย่างดี ในครั้งหนึ่งได้มีความดำริว่า เราอยู่จบพรหมจรรย์แล้วควรจะรับภารกิจของสงฆ์ จึงได้กราบทูลความดำรินั้น แด่พระบรมศาสดา เมื่อพระองค์ทรงทราบแล้วได้ตรัสสาธุการว่า ดีละ ๆ ทัพพมัลลบุตร แล้วตรัสให้สงฆ์สมมติท่าน เป็นภัตตุทเทสก์ (ผู้แจกภัต) และเสนาสนคาหาปกะ(ผู้ปูลาดเสนาสนะ) ครั้งนั้นพระศาสดาทรงดำริว่าพระทัพพนี้ยังเด็กอยู่ แต่ดำรงตำแหน่งใหญ่ จึงทรงประทานให้ท่านอุปสมบทแล้วในเวลาที่ท่านมีพรรษา7เท่านั้น หลังจากที่ท่านได้ อุปสมบทแล้ว ท่านได้ตั้งใจทำกิจในหน้าที่ของท่านให้สำเร็จเรียบร้อยดี และท่านเป็นผู้ฉลาดในการนี้ด้วย จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะ (เสนาสนปญฺญาปกานํ)
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250