พระมงคลพุทธเจ้า
มังคลพุทธวงศ์ที่ 3
ว่าด้วยพระประวัติพระมงคลพุทธเจ้า
สมัยต่อมาจากพระโกณฑัญญะ มีพระพุทธเจ้าพระนามว่ามงคล ทรงกำจัดความมืดในโลกแล้ว ทรงชูคบเพลิงคือพระธรรมสว่างไสว พระองค์มีพระรัศมีไม่มีอะไรเปรียบปาน ยิ่งกว่าพระพิชิตมารอื่นๆ ทรงกำจัดรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ส่องแสงไพโรจน์ในหมื่นจักวาล แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงประกาศจตุสัจธรรมอันประเสริฐสุด เทวดาและมนุษย์ได้ดื่มรสสัจธรรมแล้ว ย่อมบรรเทาความมืดตื้อได้
ในคราวที่พระองค์ทรงบรรลุพระโพธิญาณ อันไม่มีอะไรเปรียบแล้ว ทรงแสดงธรรมครั้งแรก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่พิภพของท้าวสักกะจอมอสูร ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ 2 ได้มีแก่ทวยเทพแสนโกฏิ ในกาลเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า สุนันทะเสด็จเข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าทรงตีกลองธรรมเภรีอันประเสริฐสุด และครั้งนั้น บริวารของพระเจ้าสุนันทะ มีประมาณเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 2 พระสาวกมาประชุมกันแสนโกฏิ ครั้งที่ 3 พระสาวกมาประชุมกันเก้าสิบโกฏิ การประชุมครั้งนั้น ล้วนแต่พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน
สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์มีนามว่าสุรุจิ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงมนต์ รู้จบไตรเพท เราได้เข้าเฝ้าพระศาสดาพระองค์นั้น ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะและได้บูชาพระสงฆ์ อันมีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยของหอมและดอกไม้ อังคาสด้วยน้ำนมโคจนสำราญพระทัย แม้พระพุทธมงคลผู้อุดมกว่าสัตว์พระองค์นั้น ก็พยากรณ์เราว่า ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉะนั้น
เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง เราอธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี 10 ให้ยิ่งขึ้น ครั้งนั้น เราพอกพูนปีติ เพื่อบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ จึงถวายเรือนของเราแก่พระพุทธเจ้า แล้วออกบวชในสำนักของพระองค์ เราเล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย อันเป็นสัตถุศาสน์มีองค์ 9 ประการแล้ว ทำพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม ครั้งนั้น เราเป็นผู้ไม่ประมาทเจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงที่สุดในอภิญญาแล้วได้ไปยังพรหมโลก พระนครชื่อว่าอุตระพระมหากษัตริย์พระนามว่าอุตระ เป็นพระชนกของพระมงคลบรมศาสดาพระชนนีพระนามว่า อุตรา พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เก้าหมื่นปี ทรงมีปราสาทอันประเสริฐ 3 ปราสาท ชื่อว่ายสวา สุจิมาและสิริมา มีพระสนมนารีกำนัลในสามหมื่นนาง ล้วนแต่ประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามว่ายสวดี พระราชโอรสพระนามว่าสีวละ พระชินเจ้าทรงเห็นนิมิต 5 ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยอัสสวราชยานต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม
พระมงคลมหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกของโลกอุดมกว่าสัตว์ อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร พระองค์มีพระสุเทวเถระและพระธรรมเสนเถระเป็นอัครสาวก พระเถระชื่อปาลิตะ เป็นอุปัฏฐาก พระสีวลาเถรีและพระอโสกาเถรีเป็นอัครสาวิกา ไม้โพธิ์ของพระผู้มีพระภาคนั้น เรียกกันว่าต้นกากะทิง นันทอุบาสก และวิสาขอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก อนุฬาอุบาสิกาและสุมนาอุบาสิกาเป็นอุปัฏฐายิกา พระมงคลมหามุนีสูง 80 ศอก พระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระองค์ ไปไกลหลายแสนโลกธาตุ
ในขณะนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย สาวกของพระองค์ใครๆ ไม่สามารถจะนับได้ ฉะนั้นครั้งนั้น พระสัมพุทธมงคลผู้เป็นนายกของโลก ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เพียงนั้น ในพระศาสนาของพระองค์ไม่มีการตายอย่างคนมีกิเลสเลย พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ทรงชูดวงไฟคือพระธรรมสว่างจ้า ทรงช่วยมหาชนให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ทรงรุ่งเรืองเหมือนดาวธุมเกต แล้วเสด็จนิพพาน ทรงแสดงสภาวะแห่งสังขาร ในมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก ทรงรุ่งเรืองเหมือนกองไฟ แล้วเสด็จเข้านิพพานเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต ฉะนั้น พระพุทธมงคลเสด็จปรินิพพานที่พระราชอุทยานชื่อเวสสระ พระสถูปของพระองค์สูง 30 โยชน์ ประดิษฐานอยู่ในพระราชอุทยานนั้น.
จบมังคลพุทธวงศ์ที่ 3
ที่มา: พระไตรปิฎกเล่มที่ 33 (ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์-จริยาปิฎก)
ฉายา : ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ
ความสูง : 80 ศอก
รัศมี : แผ่ซานออกไปหลายแสนโลกธาตุ
บำเพ็ญบารมี : 16 อสงไขยแสนกัป
วรรณะ : กษัตริย์
พุทธบิดา : พระเจ้าอุตระ
พุทธมารดา : พระนางอุตรเทวี
พระนคร : อุตระ
ใช้ชีวิตฆราวาส : 9,000 ปี
มเหสี : ยสวดี
บุตร : สีวละ
ยานพาหนะที่ใช้ออกบวช : ทรงม้าออกบวช
ระยะเวลาการทำความเพียร : 8 เดือน จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นนาคะ (กากะทิง หรือ บุนนาค)
บัลลังก์สูง : 57 ศอก
อายุขัย : 90,000 ปีจึงปรินิพพานที่พระราชอุทยานเวสสระ
41 ซอยพัฒนาการ 64 ถนนพัฒนาการ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250